"ดูใจกันยาว ยิ่งอยู่กันยืด" คำสอนที่ผู้หลักผู้ใหญ่แนะนำหนุ่มสาวสมัยนี้ว่าให้คบหากันให้นาน ๆ ก่อนจะตัดสินใจร่วมชีวิตคู่ เพื่อลดปัญหาเตียงหัก-หย่าร้างหลังแต่ง ก็ถือเป็นคำสอนที่มีเหตุผลและเป็นจริงทีเดียว ว่าแต่ดูใจนี่ต้องดูกันนานแค่ไหน แล้วตกลงแต่งงานกันเมื่อไรจึงจะดี งานวิจัยชิ้นหนึ่งจากนักสังคมวิทยาชาวอเมริกันเขาตอบไว้ว่า แต่งตอนอายุ 28-32 ปีนี่สิแจ๋วสุด ช่วยให้ชีวิตคู่มั่นคงยาวนาน !!
ตามรายงานจากเว็บไซต์เมโทร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2558 ได้เผยผลการวิจัยของ นิโคลาส วูลฟ์ฟิงเกอร์ นักสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยยูทาห์ สหรัฐฯ ที่ได้รับการเผยแพร่จากสถาบันการศึกษาครอบครัว (Family Studies) โดยงานวิจัยชิ้นนี้ได้จากการวิเคราะห์ผลสำรวจการสำรวจการเติบโตของครอบครัวแห่งชาติสหรัฐอเมริกา ที่ได้มาในระหว่างปี 2549-2553 และ 2554-2556 พบว่า..
ช่วงวัยที่เหมาะสมที่สุดในการแต่งงาน คืออายุระหว่าง 28-32 ปี ผู้ที่จูงมือวิวาห์ในช่วงอายุนี้มีแนวโน้มต่ำที่สุดที่จะหย่าร้างแยกทางกันในช่วง 5 ปีหลังแต่งงาน และเมื่อแต่งงานหลังอายุ 32 ปีไปแล้ว โอกาสเตียงหักเพิ่มขึ้นปีละ 5%
สาเหตุที่สนับสนุนผลวิเคราะห์นี้เป็นไปได้หลายประการ อาทิ คนในช่วงวัยปลาย 20-ต้น 30 มีความเข้าใจในความสัมพันธ์มากขึ้น แยกแยะได้ว่าสามารถเข้ากันได้จริงหรือเป็นเพียงความรู้สึกที่ผลักดันโดยฮอร์โมน, เริ่มมีความมั่นคงทางการเงินมากพอในระดับหนึ่ง, เป็นวัยที่ยังสามารถปรับตัว จูนทัศนคติเข้ากันได้, ส่วนใหญ่มักยังไม่มีลูกติดมาจากความสัมพันธ์ก่อนหน้า ฯลฯ
แต่อย่างไรก็ดี ข้อมูลชุดนี้ก็ไม่ได้คำนึงถึงสภาพสังคมในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งผู้คนยอมรับการหย่าร้างได้มากขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีงานวิจัยที่ยังชี้ผลสรุปแย้งกับผลวิจัยของวูฟล์ฟิงเกอร์ โดย ฟิลิป โคเฮน นักสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งแมรีแลนด์ ได้ทำการวิจัยในปี 2557 ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลจาก การสำรวจสังคมอเมริกัน (2551-2554) อันเป็นชุดการสำรวจกลุ่มกว้างกว่า และสรุปการวิเคราะห์ว่า ยิ่งแต่งงานเมื่ออายุมากขึ้น ก็ยิ่งมีแนวโน้มการหย่าร้างลดลง โดยสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากเมื่อมีอายุมากขึ้น คนก็ยิ่งมีความคิดพิจารณารอบคอบกว่าเดิม โดยเฉพาะในผู้หญิง พบว่าในการแต่งงานครั้งแรก ยิ่งเจ้าสาวอายุมากเท่าไร โอกาสจะเกิดการหย่าร้างในอนาคตก็ลดน้อยลงเท่านั้น
ดูท่าว่าหากจะตัดสินฟันธงกันแบบแม่น ๆ ว่าแต่งงานเมื่อไรจึงจะไม่เกิดการหย่าร้าง คงทำไม่ได้ งั้นเอาเป็นว่าขึ้นอยู่กับดุลพินิจและความพร้อมของคนรักแต่ละคู่ดีกว่า เรื่องของคนสองคน ก็ต้องเป็นตัวเรากับตัวเขาที่จะรู้ดีที่สุด จริงไหมคะ :D
