x close

พรสำหรับการครองคู่

แต่งงาน
แต่งงาน

พรสำหรับการครองคู่ (Life & Family)

โดย: สมศรี สุกุมลนันทน์

อวยพรกันตามฟอร์มว่า ขอให้มีความสุขความเจริญครองคู่กันยืนนาน

          เดือนที่ผ่านมาคงมีฤกษ์ดีสำหรับงานมงคลสมรสหลายวัน เพราะได้รับบัตรเชิญหลายราย แต่ละรายมีข้อปลีกย่อยต่าง ๆ กัน บางรายเชิญรดน้ำตอนใกล้เที่ยงแล้ว เชิญรับประทานอาหารกลางวันต่อกันไป บางรายเชิญรดน้ำใกล้ค่ำ แล้วเชิญรับประทานอาหารค่ำ ทุกรายเข้าใจว่าจะให้ความสำคัญแก่การเลี้ยงมากกว่าการรดน้ำ

          การรดน้ำทำเป็นการภายในสำหรับญาติผู้ใหญ่ บัตรเชิญเป็นเรื่องการเลี้ยงไม่ระบุการรดน้ำ หลายรายการรดน้ำมีที่บ้าน ไม่ได้ออกบัตรเชิญกันในหมู่ญาติ รดน้ำตอนเช้าตอนค่ำจึงมีงานเลี้ยงในโรงแรม เป็นเรื่องเลี้ยงระหว่างเพื่อนฝูงของคู่บ่าวสาว น้อยรายจะมีงานเลี้ยงพระและเจริญพระพุทธมนต์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยในตอนเช้าหรือเพล มีเหตุผลว่าเป็นการฉลองเรือนหออย่างธรรมเนียมโบราณ

          ส่วนสำคัญที่สุดของการแต่งงานคือการจดทะเบียนสมรส สมัยนี้กลายเป็นงานแทรกจะจดทะเบียนตอนไหนก็แล้วแต่จะสะดวก เชิญเจ้าหน้าที่มาที่บ้าน หรือบ่าวสาวจะพากันไปจดทะเบียนกันเองก็ได้ เช่นเดียวกับพิธีต่าง ๆ ที่ปฏิบัติตาม ๆ กันมาเป็นประเพณี ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา

          ไปงานแต่งงานของหลานย่าและหลานป้าในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้งสองรายขอให้คุณย่าและคุณป้ากล่าวอวยพรหลังจากงานเลี้ยงตามธรรมเนียมที่ เคยปฏิบัติกันมา ผู้กล่าวคำอวยพรต้องขึ้นไปยืนพูดบนเวที บังเอิญคุณย่าและคุณป้ากำลังขาเจ็บ เดินขึ้นบันไดไม่ไหวและยืนไม่ทน เจ้าภาพจึงอนุโลมให้นั่งพูดที่เก้าอี้ของโต๊ะอาหาร ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวมานั่ง คุกเข่าอยู่ตรงหน้า จำกัดการพูดอยู่ในตัว เพราะจะเป็นการทรมานเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ตรงนี้ทำให้ต้องรำพึงถึงความหลังเมื่อครั้งเป็นเด็ก พ่อแม่มีคู่บ่าวสาวมาไหว้บ่อย ๆ ตามธรรมเนียมของการไหว้ผู้ใหญ่

การไหว้ผู้ใหญ่เป็นขั้นตอนหนึ่งของพิธีแต่งงาน

          หลังจากวันแต่งงาน ภายในสัปดาห์แรก สามีภรรยาคู่ใหม่จะนำดอกไม้ธูปแพ เทียนแพ ออกไปไหว้ผู้ใหญ่ที่นับถือ อาจไปคราวละสองบ้านก็ได้ ถ้าสะดวกที่จะทำอย่างนั้น ผู้ใหญ่ที่รับไหว้มักเป็นคู่ เพื่อจะได้ให้โอวาทคู่สามีภรรยาใหม่ได้ถนัด ผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงให้โอวาทสาว ผู้ใหญ่ฝ่ายชายให้โอวาทหนุ่ม การเข้ามากราบกรานอยู่ตรงหน้าทำให้รู้สึกว่าใกล้ชิด โอวาทจึงเป็นคนละอย่างกับธรรมเนียมใหม่ที่ผู้ใหญ่ขึ้นไปกล่าวอวยพรบนเวที

          จากประสบการณ์จำได้ว่าผู้ใหญ่ที่ไปไหว้มี 3 ราย คือ จอมพล ป.พิบูลสงคราม และท่านผู้หญิงหลวงประดิษฐ์มนูธรรม และท่านผู้หญิง และคุณหญิงสัจจาภิรมย์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นป้า

          การมาไหว้อย่างนี้ ผู้ใหญ่พูดกับสามีภรรยาคู่ใหม่โดยตรง โอวาทที่ท่านให้จึงเป็นการจำเพาะเจาะจงมากกว่าที่จะเป็นคำอวยพรตามธรรม เนียมสำหรับผู้คนทั้งหมดซึ่งมาในงานร่วมฟัง

          จะเล่าให้ฟังว่า คุณป้าสอนอะไร เป็นที่รู้กันว่าคุณป้าเป็นแม่บ้านที่เชี่ยวชาญนัก ทั้งการบริหารคนและทรัพย์สิน

          คุณป้าเล่าว่า เมื่อแรกแต่งงานกับเจ้าคุณใหม่ ๆ ท่านและเจ้าคุณไม่ได้มีทรัพย์สิน อะไรเป็นหลักเป็นฐาน ท่านมีวิธีเก็บเงินที่ได้มาจากเงินเดือนของเจ้าคุณและทำเรือกสวน ไร่นาให้พอกพูนเป็นเงิน สมัยนั้นไม่มีธนาคาร อย่างน้อยท่านก็ไม่รู้จักใช้บริการของธนาคาร ท่านเก็บใส่ถุงผ้า (ถุงพลาสติกยังไม่มีใช้) แล้วฝากพระ พระของท่านคือนำไปวางไว้ที่แท่นพระ เคารพนบไหว้ออกปากฝากท่านไว้ เมื่อฝากพระไว้แล้วก็ไม่กล้าไปหยิบมาใช้ ขอยืมก็ไม่กล้า ท่านว่าท่านเก็บเงินของท่านด้วย วิธีนี้จะนำเอาไปใช้บ้างก็ได้

          ตอนที่ฟังท่านเล่า คิดว่าทำหน้าเฉย ๆ แต่ในใจขัน แต่ก็ยอมรับว่าวิธีของท่านเข้าที พระพุทธรูปไม่ต้องแสดงอิทธิปาฏิหาริย์อะไร ตั้งอยู่เฉย ๆ คนก็กลัว คนเอาใจของตัว ไปมอบให้แก่พระพุทธรูปเอง นำเงินไปฝากท่านไว้ เกรงใจท่านถ้าจะไปทำรุ่มร่ามหยิบเอามาใช้โดยพลการ เป็นการควบคุมใจตัวเองวิธีหนึ่ง ซึ่งไม่น่าจะได้ผลแก่คนทั่วไป โดยเฉพาะคนรุ่นหลานเหลนของคุณป้า

          ในการไปไหว้ผู้ใหญ่ มีธรรมเนียมว่าผู้ใหญ่จะมีของตอบแทนเพื่อรับไหว้ ของรับไหว้อาจเป็นเงินหรือสิ่งของมีค่าเล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้าเป็นเงินท่านคิดว่าจะได้เป็นเงินก้นถุง มีประโยชน์ตรงให้ผลทางใจมากกว่าจะนำไปใช้สอยในฐานะที่เป็นของแลกเปลี่ยน

          สำหรับโอวาทที่คุณป้าให้แก่สามีภรรยาคู่ใหม่ยังโบราณเหมือนเดิม คือให้ผู้หญิงอดทน ผู้ชายขยันขันแข็งทำมาหาเลี้ยงดูบุตรภรรยา ท่านอยู่ในสมัยที่สามีภรรยาต้องมีบุตรหลายคน และสามีมีสิทธิ์ที่จะมีภรรยาหลายคนด้วย ขอให้มีปัญญาเลี้ยงดูก็ไม่ว่ากัน คุณป้าพูดอย่างผู้สันทัดจากประสบการณ์ของภรรยาเองที่มีภรรยารอง ไม่ทนก็ต้องทน

          ท่านให้ของขวัญเป็นถุงเงิน เมื่อยู่ในรถระหว่างทาง ฝ่ายหญิงจะเปิดซอง ฝ่ายชายบอกว่า อย่าเพิ่งเปิด เก็บเอาไว้อย่างนั้นก่อน ให้ความรู้สึกดี ๆ ซึมซาบอยู่ในใจ คุณป้าท่านเป็นคนระวังเรื่องการใช้เงิน จำนวนเงินน้อยนิดสำหรับเรามีค่ามากกว่าสำหรับท่าน เราต้องทำใจให้ค่าของเงินที่ท่านให้มีค่าเท่ากับค่าในความคิดของท่าน ต่อมาเปิดซองจึงเห็นว่ามีเงิน 5 บาทอยู่ในนั้น ถ้าเทียบกับเงินเดือนข้าราชการชั้นโทในขณะนั้น 140 บาท และข้าราชการชั้นเอกเงินเดือน 240 บาท 5 บาทนับ ว่ามีค่าทั้งค่าทางใจและค่าจริง


แต่งงาน
แต่งงาน

          ธรรมเนียมการไปไหว้ผู้ใหญ่หลังจากแต่งงานแล้วหายไปเมื่อใดไม่ทราบ น่าจะเป็นเพราะการแต่งงานในสมัยต่อ ๆ มาไม่ได้จัดขึ้นในบ้าน ไปจัดในสถานที่ที่มีความสะดวก ในการรับรองแขกและงานเลี้ยง มีเวทีให้ผู้ใหญ่ขึ้นไปปราศรัยและเล่นดนตรี หรือบางทีมีการแสดงฟ้อนรำต่าง ๆ ด้วย

          การขึ้นไปอวยพรคู่บ่าวสาวบน เวทีจึงเป็นแค่พูดอวยพรคำสอง คำท่ามกลางคนจำนวนมาก จะพูดอะไรที่ใกล้ชิดเป็นความจริงนักก็ไม่สมควร ไม่เหมือนกับผู้ใหญ่พูดกับคู่บ่าวสาวอย่างให้เขาฟังจริงจัง เพราะเขามานั่งอยู่ตรงหน้า

          เข้าใจว่าการพูดของคุณป้าเมื่อวันนั้นจะไม่เหมือนใคร คงไม่มีคู่บ่าวสาวคู่ไหน ที่ได้รับฟังโอวาทเรื่องการเก็บเงินจากผู้ใหญ่เช่นนั้น เวลาล่วงเลยมา 57 ปี ยังคงจำได้อยู่ เมื่อจะหยิบเงินออกไปใช้จ่ายสิ่งใด เป็นต้องนึกว่าเงินมาจากแท่นพระทุกที ยั้งการที่จะมือเติบไว้ได้ส่วนหนึ่ง เงินก้นถุง 5 บาท คิดเสียว่านอนเป็นก้นถุงอยู่ในธนาคารเพื่อ รองรับเงินที่จะเข้ามาทับทวีคูณ เดี๋ยวนี้ยังเห็นภาพคุณป้านั่งอยู่บนพรม มีเชี่ยนหมากอยู่ข้างตัว การกินหมากเป็นกิจกรรมประกอบการสนทนาสำหรับคนไทยสมัยนั้น

          เมื่อเปลี่ยนจากการให้โอวาทเฉพาะตัวมาเป็นการให้พรบนเวทีท่ามกลางแขกเหรื่อ ข้อความเนื้อหาสาระถูกจำกัดด้วยเวลาและสถานที่ พรจึงเป็นไปตามฟอร์ม ให้มีความสุขความเจริญ แค่นั้นเป็นธรรมดา ประเภทให้มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง หรือขอให้ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร หมดสมัยไปแล้ว

          ครั้งหนึ่งไปในงานรับประทานเลี้ยงเนื่องในการมงคลสมรส บนเวทีที่สนามหญ้าของบ้านฝ่ายเจ้าสาว มีไม้เท้าและกระบองเป็นส่วนของการตกแต่ง มีเสียงกระซิบว่านั่นอะไร พอดีมีผู้ใหญ่ผู้ชายขึ้นมาพูดบนเวที ท่านเอ่ยถึง ไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร ว่าเป็นสัญลักษณ์ของการครองคู่อยู่ด้วยกันยั่งยืนนานจนแก่เฒ่าถือไม้เท้า ด้วยกันทั้งคู่ แต่ท่านไม่ได้เอ่ยถึงกระบองว่าทำหน้าที่อะไรในการครองคู่ ลงได้เป็นสำนวนติดปากใคร ๆ รู้จักจำได้ ต้องมีความหมาย

          ไม้เท้าเป็น ที่รู้จักกันว่า คนแก่มักต้องพึ่งไม้เท้าเพื่อพยุงกายให้ยืนเดินถนัด ไม้เท้าช่วยประคับประคองร่างกายที่เสื่อมโทรมลงเพราะชราภาพหรือสุขภาพ สามีภรรยาช่วยเหลือกันและกัน การช่วยเหลือมักเป็นที่ต้องการยามแก่เฒ่า

          กระบอง นับว่าเป็นอาวุธดั้งเดิม คนป่าคนดอยไม่รู้จักทำอาวุธด้วยวัสดุอื่น ๆ เช่นโลหะ มักต้องพึ่งกระบอง ยักษ์ถือกระบอง ไม่ถืออาวุธอื่น คนสองคนอยู่ด้วยกัน แม้จะรักกันปานจะกลืน ก็อดมีปากมีเสียงต่อกันไม่ได้ ชอบใจสำนวน มีปากมีเสียงมาก

          เพราะเป็นความจริง ถ้าหุบปากหับเสียงเสียได้ เรื่องไม่เกิด การหุบปากหับเสียงคือการมีวินัยแก่ตัวเอง ซึ่งยากกว่าการบังคับให้ผู้อื่นมีวินัย ถ้าไม่มีวินัย อาจต้องใช้กระบองบังคับ กระบองจึงเป็นเครื่องมือควบคุมอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งไม่รู้จักควบคุมตัวเอง

          สมัยนี้กระบองหายากกว่าอาวุธอื่น ๆ จึงหมดไปโดยปริยาย ไม่รู้ว่ากระบองหายไป ทำให้คู่สามีภรรยาขัดใจทะเลาะเบาะแว้งกันมากขึ้นหรือเปล่า คงไม่ใช่

          ในงานมงคลสมรส ไม่มีใครเอ่ยถึงสิ่งที่ไม่เป็นมงคล อวยพรกันตามฟอร์มว่า ขอให้มีความสุขความเจริญครองคู่กันยืนนาน เรามักขึ้นต้นคำอวยพรว่า ขอ ขอใครไม่ต้องเอ่ย ละไว้ในฐานที่เข้าใจกันว่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่อาจบันดาลอะไรให้ได้ตามคำขอ มีจริงหรือเปล่า ไม่ทราบ ที่แน่ ๆ คือ หญิงชายที่แต่งงานกันนั้นเองเป็นผู้ดลบันดาลให้สิ่งที่ขอเป็นความจริงขึ้นมาได้ ต้องการความสุขและความเจริญ ก็สร้างขึ้นเอง สุขทุกข์เกิดในใจของแต่ละคน ถ้าหลีกเลี่ยงที่จะไม่สร้างความทุกข์ให้แก่กันและกัน ความสุขก็จะเกิดขึ้น

          เราใช้คำว่า ปกติสุข ในชีวิตคู่ สุขควรเป็นความปกติ ทุกข์ควรเป็นความผิดปกติ ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ทำลายให้หมดไปได้ คิดว่าการรู้จักหุบปาก หับเสียง ที่เหมาะแก่กาลเทศะ ยังเป็นคำสอนที่ใช้ได้ อยู่สำหรับความเป็นปกติสุขในชีวิตคู่




ขอขอบคุณข้อมูลจาก

นิตยสาร Life & Family


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
พรสำหรับการครองคู่ อัปเดตล่าสุด 15 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 15:25:38 2,274 อ่าน
TOP