ภาพฉากแต่งงานในโบสถ์สวย ๆ เจ้าบ่าว-เจ้าสาว ยืนอยู่บนแท่นพิธี มีบาทหลวงและสักขีพยาน ท่ามกลางเสียงเพลงที่ขับกล่อม ดูเรียบง่ายแต่ให้บรรยากาศสุดโรแมนติก คงจะเป็นงานแต่งงานในฝันของสาว ๆ หลายคน วันนี้กระปุกเวดดิ้งจึงมีข้อมูลของพิธีแต่งงานแบบคริสต์ มาฝากว่าที่เจ้าสาวกันค่ะ
การประกอบพิธีแต่งงานแบบคริสต์ ที่เรามักจะเห็นกันในภาพยนตร์ต่างประเทศนั้น แม้จะดูเป็นพิธีการที่เรียบง่าย แต่ขั้นตอนต่าง ๆ ในการเตรียมตัวและประกอบพิธีก็มีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว โดยมีรายละเอียด ดังนี้…
การขอประกอบพิธีแต่งงาน
สามารถยื่นเรื่องได้ที่โบสถ์ ที่จะใช้ประกอบพิธีแต่งงานของคุณ และมีเอกสารที่ต้องเตรียมคือ ..
1. เอกสารผ่านการอบรมชีวิตคู่ โดยได้จากการเข้าอบรมคู่สมรส ซึ่งจะใช้เวลาในการอบรมไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง ครั้งละ 2 ชั่วโมง เป็นการสอนให้เรียนรู้ตามคำสอนที่บัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ ว่าด้วยการดำรงชีวิตร่วมกัน สามารถเข้าอบรมได้ที่โบสถ์ที่จะทำพิธีแต่งงาน หรือโบสถ์ทั่วไปที่จัดอบรมก็ได้
2. เอกสารรับศีลล้างบาป เมื่อได้เอกสารอบรมชีวิตคู่แล้ว ต้องนำเอกสารไปยื่นเพื่อขอรับศีลล้างบาป โดยเมื่อผ่านพิธีการดังกล่าวแล้ว จะได้รับเอกสารรับรอง
3. กรณีที่คู่แต่งงานเป็นชาวต่างชาติ ต้องมีใบรับรองสถานภาพโสดด้วย โดยหากเป็นชาวต่างชาติที่ต้องการประกอบพิธีแต่งงานในไทย ให้ขอใบรับรองได้ที่สถานทูตในเมืองไทย ส่วนชาวไทยที่ต้องการใบรับรองสถานภาพเพื่อไปแต่งงานที่ต่างประเทศ ให้ขอได้จากที่ว่าการอำเภอ
องค์ประกอบในการแต่งงาน
เมื่อยื่นเรื่องขอแต่งงานกับโบสถ์ที่ต้องการแล้ว ควรจัดเตรียมองค์ประกอบต่าง ๆ ของการแต่งงานแบบคริสต์ให้ครบถ้วน ซึ่งของที่ต้องเตรียมมีดังนี้
แหวนแต่งงาน : เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการสมรส ซึ่งนิยมใช้แหวนเกลี้ยงอย่าง แหวนทองคำ หรือ แหวนทองคำขาว เพราะทนทานและดูแลรักษาง่าย ซึ่งทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาว จะต้องเตรียมแหวนแต่งงานเอาไว้คนละวง เพื่อแลกกันสวมใส่ เอาไว้แทนใจซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังแสดงให้เห็นด้วยว่าทั้งคู่มีพันธะผูกพันแล้ว
ตัวแทนถือแหวน : เป็นเด็กผู้ชายอายุไม่เกิน 13 ปี ทำหน้าที่ในการเดินถือพานใส่แหวนแต่งงาน โดยจะเป็นแหวนวงจริงหรือแหวนที่ทำขึ้นมาสำหรับถือโดยเฉพาะก็ได้
ตัวแทนถือดอกไม้ : มีหน้าที่โปรยกลีบดอกไม้ตามทางเดิน ขณะที่เจ้าสาวเดินผ่าน และถือช่อดอกไม้นำหน้าขบวนเจ้าสาว โดยใช้เด็กผู้หญิง อายุประมาณ 3-7 ปี
ตัวแทนจุดเทียน : เป็นตัวแทน หญิง 1 คน ชาย 1 คน หรือจะเป็นเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายก็ได้ โดยจะต้องจุดเทียนตอนเริ่มพิธี และเทียนต้องไม่ดับก่อนเสร็จสิ้นพิธีการ
เพื่อนเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าสาว : เป็นคนที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวสนิท และให้ความไว้วางใจ โดยเพื่อนเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าสาว มักจะแต่งตัวคล้ายกัน ถือช่อดอกไม้ร่วมเป็นสักขีพยานอยู่บนแท่นพิธี
บาทหลวง : เป็นนักบวชที่จะทำพิธีแต่งงานของคุณให้สมบูรณ์แบบ โดยบาทหลวงจะทำการอ่านพระคัมภีร์ ให้ทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวกล่าวคำปฏิญาณรักซึ่งกันและกัน จากนั้นแลกแหวนแทนใจ และประกาศให้ทั้งคู่เป็นสามีภรรยากัน
พิธีแต่งงาน
1. จุดเทียน : โดยให้ตัวแทนจุดเทียนเป็นผู้เริ่มจุดเทียนที่อยู่ด้านซ้ายและขวาของบริเวณพิธี ซึ่งมีข้อแม้ว่าเทียนจะต้องไม่ดับก่อนทำพิธีเสร็จ อีกนัยหนึ่งถือว่าเป็นลางไม่ดี
2. บรรเลงเพลง : เมื่อจุดเทียนเสร็จแล้ว วงดนตรีจะเริ่มบรรเลงเพลง ซึ่งส่วนมากจะเป็นเสียงขับกล่อมจากเปียโน หรือ ดนตรีเบา ๆ ที่เหมาะกับงานแต่งงาน
3. เจ้าสาวเดินเข้าสู่งาน : ขบวนเจ้าสาวเดินเข้าสู่พิธี ประกอบด้วย ตัวแทนถือแหวน ตัวแทนโปรยดอกไม้ บิดาของเจ้าสาวที่พาเจ้าสาวเดินเคียงคู่มาด้วย และเหล่าเพื่อนเจ้าสาว ทั้งนี้ พ่อเจ้าสาวจะต้องพาเจ้าสาวเดินคล้องแขนไปส่งให้ถึงมือเจ้าบ่าวที่ยืนอยู่บนแท่นพิธี เพื่อเป็นการส่งต่อความดูแลให้เจ้าบ่าวเป็นผู้รับผิดชอบตั้งแต่นี้เป็นต้นไป โดยในระหว่างที่ขบวนของเจ้าสาวเดินเข้าสู่พิธีแต่งงาน แขกผู้มีเกียรติจะลุกขึ้นยืนต้อนรับ และรอจนกว่าเจ้าสาวจะเดินถึงแท่นพิธี
4. บาทหลวงทำพิธี : บาทหลวงจะเริ่มต้นอ่านคัมภีร์คู่ชีวิต เกี่ยวกับการใช้ชีวิตคู่ เพื่อให้เจ้าบ่าวและเจ้าสาว รับรู้ถึงภาระหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติหลังจากแต่งงานเป็นคู่ชีวิตกันแล้ว จากนั้นเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะกล่าวปฏิญาณตน ซึ่งสามารถกล่าวตามบาทหลวง หรือกล่าวปฏิญาณด้วยคำพูดของตัวเองก็ได้
5. แลกแหวน : หลังจากกล่าวปฏิญาณตนเสร็จสิ้น เจ้าบ่าว-เจ้าสาวจะแลกแหวนแต่งงานที่เตรียมมา และลงนามในเอกสารแต่งงาน ที่โบสถ์จะออกให้เป็นหลักฐาน จากนั้นให้เจ้าบ่าวเดินไปจุดเทียนทางขวา และเจ้าสาวจุดเทียนทางซ้าย แล้วกลับมาจุดเทียนตรงกลางโบสถ์พร้อมกัน โดยมีบาทหลวงเป็นผู้ให้พร และประกาศให้ทั้งคู่เป็นสามีภรรยากันอย่างเป็นทางการ
6. โยนดอกไม้ : เมื่อเสร็จสิ้นพิธีการต่าง ๆ แล้ว เจ้าสาวจะออกมาด้านหน้าโบสถ์ โดยมีแขกที่มางานร่วมโปรยดอกไม้ตลอดทาง จากนั้นเจ้าสาวจะโยนดอกไม้ให้กับแขกที่มาร่วมงาน ซึ่งสาว ๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงาน มักจะรอรับดอกไม้จากเจ้าสาวเพื่อเป็นเคล็ด
การแต่งงานกับผู้ที่ไม่ได้นับถือคริสต์
ชาวคริสต์เชื่อว่าการแต่งงานข้ามศาสนานั้น ไม่เป็นผลดี เพราะขัดกับพระคัมภีร์ เนื่องจากความเชื่อที่แตกต่างจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตร่วมกัน ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนศาสนาเพื่อมานับถือคริสต์ และเรียนคำสอนต่าง ๆ ให้ความเชื่อของคู่รักเป็นไปในทิศทางเดียวกันก่อน แต่ทว่าในปัจจุบันก็มีการแต่งงานแบบข้ามศาสนามากขึ้น โดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดแต่อย่างใด เรียกว่าการแต่งงานแบบต่างคนต่างถือ
อย่างไรก็ตาม การแต่งงานแบบคริสต์ในปัจจุบัน สามารถยืดหยุ่นและเปลี่ยนแปลงได้ตามความเชื่อของแต่ละนิกาย รวมทั้งความสะดวกของเจ้าบ่าว-เจ้าสาวเองด้วย ทั้งนี้ "ความรัก" และ "ความเข้าใจ" ต่างหากคือสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้พิธีแต่งงานของคุณสมบูรณ์แบบที่สุด แม้ว่าจะมีขั้นตอนการแต่งงานแบบไหนก็ตาม ยังไงก็ต้องขออวยพรให้ทุกคู่รัก ครองรักกันด้วยความเข้าใจ และรักกันไปอย่างยาวนานด้วยนะคะ
วางแผนแต่งงาน ชุดแต่งงาน เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับงานแต่งงาน คลิกเลย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก