x close

เธอคือคนที่ใช่ สุรเกียรติ-วิลันดา เทียนทอง

แอ๋ วิลันดา-อุ้ม สุรเกียรติ เทียนทอง

วิลันดา - สุรเกียรติ เทียนทอง


เธอคือคนที่ใช่ สุรเกียรติ-วิลันดา เทียนทอง (I Do)

เรื่องโดย : สุวิมล

          ความรักของ คุณแอ๋-วิลันดา กับ คุณอุ้ม-สุรเกียรติ เทียนทอง ประธานกรรรมการ บริษัท แทรเวล แชนแนล จำกัด ลูกชาย "ป๋าเหนาะ" นักการเมืองคนสำคัญ ได้เริ่มเรื่องแบบในละครที่นางเอกแอบหมั่นไส้พระเอก ก่อนจะมาได้รู้จัก และมีอันต้องห่างเหิน ก่อนจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง จนในตอนท้ายทั้งคู่ได้แต่งงานและใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข

     ความหลังรำลึก

          คล้ายจะเป็นเรื่องโรแมนติกสำหรับทั้งคู่ เพราะคุณแอ๋และคุณอุ้มเคยพบกันตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายแต่ไม่เคยพูดคุยกัน กระทั่งต่อมาทั้งคู่ได้มีโอกาสรู้จักกันในช่วงวัยรุ่น แต่ในตอนนั้นทั้งคู่ก็ยังไม่ให้ความสำคัญในเรื่องของความรัก

          คุณอุ้มย้อนเล่า "ผมกับเขาเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ ผมเรียนมัธยมที่เตรียมอุดมศึกษา ส่วนเขาเรียนที่เซ็นต์โยเซฟคอนแวนด์ ผมรู้ว่าเขาชื่ออะไร เขาก็รู้ว่าผมชื่ออะไร แต่เราไม่เคยคุยกัน ต่อมาผมไปเรียนเมืองนอก พอกลับมาจึงได้มีโอกาสรู้จักกัน"

          คุณแอ๋เล่าบ้าง "เรามาเจอกันอีกที หลังเขากลับจากต่างประเทศ ตอนที่เขาเข้ามาทำความรู้จักก็หมั่นไส้พอสมควร เพราะได้ยินกิตติศัพท์ว่าเขามีสาว ๆ จุกจิกอยู่หลายคน ตอนนั้นคิดว่าลองคุยกันเล่น ๆ เพราะเราเองตอนนั้นมีคนมาคุยแต่ยังไม่ได้เปิดโอกาสให้ใคร"

          สัมพันธภาพของทั้งคู่กำลังค่อย ๆ ถูกสานต่อ ระหว่างนั้นทั้งคู่เริ่มได้พูดคุย ทานข้าว ไปชมภาพยนตร์ด้วยกัน แต่ด้วยเหตุผลของจังหวะชีวิตที่ไม่ลงตัว ทำให้คนที่เริ่มมีความรู้สึกดี ๆ ต่อกันต้องห่างเหินกันไปอีกครั้งหลังจากที่เพิ่งใช้เวลาร่วมกันได้เพียง 1 ปี

          คุณอุ้มอธิบาย "ผมคุยกับเขาแล้วรู้สึกสนุก อาจเป็นเพราะเราอายุเท่ากัน อยู่ในสังคมเดียวกัน เขาทันผม แต่ตอนนั้นเหมือนกับว่าต่างคนต่างยุ่ง ผมเปลี่ยนงาน เริ่มทำธุรกิจ เขาเองก็เรียนต่อปริญญาโท"

          ด้านคุณแอ๋เสริม "เราไม่ค่อยมีเวลาให้กันสักเท่าไร ทำให้เริ่มห่าง ๆ กันไป และยิ่งห่างกันไปเรื่อย ๆ พอเริ่มห่าง ต่างคนต่างไปมีแฟน ไปเรียนรู้คนอื่น"

แอ๋ วิลันดา

     10 ปี ที่เธอยังอยู่ในใจ

          สายสัมพันธ์ที่เริ่มต้นไว้เมื่อ 10 ปีก่อนแม้ไม่ได้ถูกสานต่อ แต่ในวันเวลาที่ผ่านไปในใจส่วนลึกทั้งคู่ต่างยังมีกันและกันเสมอ กระทั่งจังหวะของชีวิตลงตัว สายใยของทั้งสองก็ได้ถูกสร้างขึ้นอีกครั้งโดยคุณอุ้มเป็นฝ่ายเริ่มต้น

          "มีอยู่วันหนึ่งผมอยู่ที่ออฟฟิศแล้วนึกถึงเขา เลยลองโทรไปหา คราวนี้ผมรู้สึกว่าเราผ่านชีวิตมาพอสมควร ตอนเด็ก ๆ เป็นผู้ชายอาจจะเจ้าชู้บ้าง พออายุ 34 ผมคิดว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม อยากลองคุยกับเขาดู เลยชวนเขาไปทานข้าว ตอนนั้นผมก็ไม่มีใคร พอดีเขาก็ไม่มีใคร อาจเป็นเพราะต่างคนต่างได้จังหวะ ผมก็ตื้อเขาอยู่พอสมควร"

          คุณแอ๋เพิ่มเติม "ตอนแรกจะไม่ไปเพราะติดงาน แต่พอเขาตื้อเลยบอกว่าไปก็ได้ แต่พอถึงเวลาตอนนั้นประมาณสองทุ่มกว่าก็โทรไปบอกว่าไม่ไปแล้วเพราะงานยังไม่เสร็จ เขาบอกว่าไม่เป็นไรรอได้ เราก็คิดว่าเขามีเรื่องอะไรหรือเปล่า ก็เลยไปเผื่อมีอะไร ไปแล้วเขาก็ชวนคุย ทักว่าเราสวยขึ้น"

          การพบกันครั้งแรกหลังจาก 10 ปีผ่านไป ทั้งคู่ต่างมีความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเมื่อครั้งยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น ต่างฝ่ายต่างรู้สึกว่าเป็นผู้ใหญ่ และเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณอุ้มกับคุณแอ๋ลองเปิดโอกาสให้ตนเองได้ศึกษาเรียนรู้กันและกันอีกครั้ง

          คุณอุ้มกล่าว "เจอเขาแล้วแปลกมาก เราเป็นตัวของเราเอง จูนกันได้ทันที เป็นเหมือนเพื่อนกัน ตอนที่โทรหาเขา ก็มานั่งคิดว่าเรารู้จักคนมาเยอะ ไม่มีใครที่เราคุยด้วยแล้วรู้สึกเหมือนเขา สนุก เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องทำความรู้จักกันใหม่ หลังจากนั้นผมคิดว่าจะสานสัมพันธ์ต่อถ้าเขาให้โอกาส เป็นการจีบจริงจังครั้งแรก"

          ด้านคุณแอ๋ "ตอนที่คุยกันไม่ได้คิดว่าเขาจะกลับมาจีบ ตอนแรกคิดว่าเขาจะชวนเราไปทำงานด้วย หลังจากนั้นเขาก็โทรมาอีก คิดว่าเขาเหงาหรือเปล่า เพื่อนยังถามว่าเขาจะกลับมาจีบหรือเปล่า เราบอกว่าไม่มีทาง หรือถ้าจะแนะนำเขาให้ใคร เราคงต้องเกลียดผู้หญิงคนนั้นมาก เพราะสมัยเด็ก ๆ เขาเจ้าชู้ แต่พอได้กลับมาทำความรู้จักครั้งนี้ รู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไปตามที่เขาพูดจริง ๆ เราก็คอยดู เราไม่เห็นว่ามีผู้หญิงคนไหนโทรหาเขาเลย"

          จากการที่ทั้งสองได้ใช้เวลาร่วมกันจนมั่นใจในกันและกัน โดยเฉพาะคุณแอ๋ที่แม้จะเคยรู้สึกกังวลกับเรื่องราวความเจ้าชู้ในอดีตของคุณอุ้ม ก็รู้สึกมั่นใจกับความจริงใจของคุณอุ้มที่มีต่อเธอ

อุ้ม-สุรเกียรติ เทียนทอง

     จะดูแลเธอทั้งชีวิต

          หลังจากนั้นไม่นานทั้งสองต่างมั่นใจว่าคน ๆ นี้คือคนที่ตนเองอยากจะร่วมชีวิต ในวันที่คุณอุ้มเอ่ยปากขอคุณแอ๋แต่งงาน ได้สร้างความซึ้งใจให้กับฝ่ายหญิงเป็นอย่างยิ่ง

          คุณอุ้มเริ่มเล่า "วันนั้นเขาไม่สบาย ผมไปรับเขา เขาก็ถามผมเรื่องจุกจิกวันนั้นงานผมเยอะค่อนข้างเครียด เราเถียงกัน พอผมถามเขากลับไป เขากลับนิ่ง ผมหันไปเห็นเขาเป็นลมนิ่งไปแล้ว ผมตกใจมากรีบพาเขาไปโรงพยาบาล อันที่จริงผมเตรียมจะขอแต่งงานในวันเกิดของเขาซึ่งยังมาไม่ถึง แต่ตอนที่เขาเป็นลม ในใจตอนนั้นผมคิดว่าผมอยากดูแลเขาตลอดไป ผมเลยบอกเขาว่า "ขอให้ผมดูแล เราแต่งงานกันเถอะ" ตอนนั้นเขาฟื้นเลย"

          คุณแอ๋เพิ่มเติม "ปกติไม่เคยเป็นลมเลย แต่ช่วงนั้นงานเยอะมาก ไม่ได้ทานข้าวด้วย พอตอนเย็นยังมาเถียงกันอีก แต่พอเขาขอแต่งงาน ฟื้นเลย ตอนนั้นตกใจมาก"

          ทั้งสองแม้จะเพิ่งใช้ชีวิตครอบครัวร่วมกัน แต่ทั้งคู่ไม่ต้องปรับตัวเข้าหากันมากนัก เนื่องจากต่างเป็นตัวของตัวเองตั้งแต่แรก

          คุณอุ้มพูดถึงคุณแอ๋ว่า "ผมว่าการใช้ชีวิตคู่ต้องเริ่มต้นตั้งแต่ก่อนแต่งงาน เราต้องเป็นตัวของตัวเอง ทุกวันนี้เราเหมือนเป็นทั้งเพื่อน ทั้งคนรักครอบครัวผม พี่น้องผมก็รักและเอ็นดูเขา"

          ส่วนคุณแอ๋ "เขาคอยดูแลทุกอย่างทั้งเสื้อผ้า หน้า ผม เป็นคนออกแบบชุดแต่งงานให้ ดูแลห้อง ดูแลรถ เป็นคนเก็บเตียงทุกเช้า ช่วยเลือกชุดรีดผ้าให้ ทำกับข้าวให้ทาน เขาชอบทำอะไรด้วยตัวเองเพราะตรงใจตัวเองมากกว่า"

     รักอย่างสมดุล

          แม้ทั้งคู่จะเป็นคู่รักที่ยังคงทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ให้กับการทำงาน แต่ต่างก็ยังรักษาสมดุลความรักได้อย่างลงตัวโดยเฉพาะคุณอุ้มที่มีแนวคิดเกี่ยวกับความรักที่น่าสนใจ

          "ผมเชื่อเรื่องการแต่งงานช้า เพราะคิดว่าก่อนแต่งงานต้องถามตัวเองก่อนว่าตัวเองใช้ชีวิตมาพร้อมแล้วหรือยัง ผมคิดว่าผมใช้ชีวิตของตัวเองมาพอแล้ว วันนี้อยากมีใครมาใช้ชีวิตด้วย ชีวิตคู่ไม่ได้อยู่ที่ว่าเราศึกษาเขาดีหรือเปล่า แต่อยู่ที่เราศึกษาตัวเองดีแล้วหรือยัง เพราะปัญหาไม่ได้เกิดจากคนอื่น มันเกิดจากตัวเอง ผมจะเป็นคนที่มองอะไรกลับมาที่ตัวเอง อย่างวันนี้ผมทำดีให้เขา ก็คือผมทำให้ตัวเอง"

          "หลักการใช้ชีวิตคู่ ผมคิดว่ามันเหมือนปรอทหรือกราฟที่สูงได้ถึงร้อย เมื่อก่อนอยู่คนเดียวเราจะปล่อยให้สูงถึง 100 ก็ได้ แต่พอเรามารู้จักกันกลายเป็นเธอ 50 ฉัน 50 แต่พอคบกันก็มีบ้างที่เราล้ำเส้นเขา หรือเขาล้ำเส้นเรากลายเป็น 60-40 คนที่ได้ก็จะต้องการมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ส่วนคนยอมก็ยอมไปเรื่อย ๆ สำหรับผมพยายามดูความสมดุลนี้ไม่ให้ต่างกันมาก เพราะมันอาจถึงจุดที่ทนไม่ได้จนระเบิดออกมาหรือทะเลาะกันใหญ่โต"

          ด้านคุณแอ๋เสริม "เราต้องเป็นตัวของตัวเองตั้งแต่ต้น รวมทั้งต้องยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นตั้งแต่ต้น"

          การแต่งงานไม่ใช่บทสรุปของชีวิตคู่ แต่กลับเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตคน ๆ หนึ่งที่จะได้ก้าวต่อไปพร้อมกับคนที่เราเลือก หลังจากนั้นสิ่งที่จะพิสูจน์ว่าเขาหรือเธอคือคนที่ใช่อย่างแท้จริงหรือไม่ก็คือ "หัวใจ" ของเราเอง










ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ISSUE 53


 

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เธอคือคนที่ใช่ สุรเกียรติ-วิลันดา เทียนทอง อัปเดตล่าสุด 6 กรกฎาคม 2555 เวลา 16:24:28 3,104 อ่าน
TOP