x close

เขตต์-แนท ความน่ารักของภรรยาขี้งอน กับสามีขี้หงุดหงิด

เขตต์ ฐานทัพ -  แนท เปรมิกา

ความน่ารักของภรรยาขี้งอน กับสามีขี้หงุดหงิด
(ภาพยนตร์บันเทิง)
เรื่อง : เสาวรส
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก บริษัท ดีทอล์ค จำกัด

          จัดว่าเป็นคู่รักต่างขั้วอีกคู่หนึ่ง สำหรับ เขตต์ ฐานทัพ กับภรรยาสาว "แนท" เปรมิการ์ ธนโรจน์ประดิษฐ์  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของนิสัยหรือการกระทำ ฝ่ายหญิงเป็นคนหวานกุ๊กกิ๊กและขี้อ้อนจนดูเหมือนเยอะในทุกเรื่อง ขณะที่ฝ่ายชายเป็นคนนิ่ง ๆ ไม่โรแมนติกแถมยังขี้หงุดหงิด แต่เพราะความรักและความมั่นคงในการตัดสินใจจะใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันตลอดไป ความต่างที่ว่าก็กลายเป็นความลงตัว ถ้าอยากรู้เรื่องราวความน่ารักและความอบอุ่นของสามี-ภรรยาคู่นี้ มาติดตามกันได้ใน FAMILY TALK

ความต่างของแนทกับเขตต์

          แนท : แนทเป็นคนหวาน พี่เขตต์เป็นคนธรรมดา แนทเยอะกว่าปกติ (หัวเราะ) พี่เขตต์เป็นคนที่ไม่มีความโรแมนติกไม่มีเซอร์ไพรส์ แต่ด้วยความที่เขาไม่หวานนี่แหละพอเขาพูดออกมาคำหนึ่งว่า “รักนะ” เราก็เออ...น่ารัก ซึ่งจริง ๆ มันดูธรรมดานะสำหรับคนอื่น แต่สำหรับเรามันดูน่ารัก

           เขตต์ : ผมเป็นคนมึน ๆ เฉย ๆ แต่แนทเป็นคนจุ๊กจิ๊ก เขาจะเหมือนคนมีสองบุคลิก เวลาทำงานเขาจะตั้งใจทำงานเป็นเรื่องเป็นราว แต่เวลาเขาอยู่กับผมเขาจะเหมือนแมว จนผมเรียกเขาว่าไอ้แมวยักษ์ จะหงุงหงิงตลอด แล้วผมเป็นคนขี้รำคาญ ตอนคบกันใหม่ ๆ รำคาญอะไรน่ะ (เขตต์กำลังจะพูดต่อแนทก็สวนขึ้นมาว่า อ้าว...ก็เกลียดยังไงก็ได้อย่างนั้นไง เขตต์ทำหน้ารับเอ่อก็ใช่ ก่อนจะพูดต่อว่า) คือในความรำคาญด้วยความที่ผมเป็นคนที่ไม่ชินเวลามีใครมาเจ๊าะแจ๊ะ ผมเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง แต่พอเขาเข้ามาอยู่ในชีวิตมาทำโน่นทำนี่ให้ แรก ๆ ไม่ชินเลยมีการแว้ดบ้างเหมือนกันนะ มาล้ำเส้นเยอะ ๆ อย่างเมื่อก่อนตอนที่เราคบเป็นแฟนเราอยู่คนละบ้าน ผมอยู่คอนโดฯ เขาก็เข้ามาตอนเช้ามาส่งอาหารส่งน้ำแบบไม่ได้นัดเหมือนมาจับผิด ผมก็อะไร...ผมถ่ายละครมาถึงตอนเช้าไม่ได้นอน เขามาส่งข้าวส่งน้ำตอน 8 โมงเช้า ซึ่งผมยังไม่ได้นอนก็อะไร ระแวงเราเหรอ กลัวเราจะไปไหนหรือเลยมาเช็ก คือค่อนข้างหวงอิสระไง

          แนท : จริง ๆ ช่วงนั้นเขาถ่ายละคร 7 วัน เราก็กลัวเขาจะไม่ได้กินอะไรตอนเช้า เพราะด้วยนิสัยเขากลับมาถึงบ้านเขาจะนอนเลย คือเราเป็นห่วงแต่เขากลับมองเราไปอีกอย่าง ช่วงแรก ๆ ก็มีน้อยใจมีเสียใจร้องห่มร้องไห้ เหมือนคิดไม่ตรงกัน เราก็ทำไมมองเราในแง่ร้ายจัง

           เขตต์ : แต่ผมมานั่งคิดดูในชีวิตผมเกิดมา 30 กว่าปี ไม่เคยมีใครมาทำกับผมแบบนี้มาก่อน อย่างแม่ผมจะแค่หาอาหารเตรียมไว้ให้ แต่ถ้าผมไม่กินก็คือไม่กิน แต่ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำให้ผมขนาดนี้ถ้าไม่ใช่แม่

ตอนแรกไม่เข้าใจก็มองภรรยาในแง่ร้าย แต่พอคิดได้ก็เลยเกิดเป็นความประทับใจ

           เขตต์ : คือคนเราพอถึงช่วงวันหนึ่งเราผ่านจุดเอาแต่ใจตัวเองมาเยอะแล้ว ทีนี้เราต้องมาดูจุดที่ต้องแชร์คืออะไร และความพอดีมันคืออะไร ผมมองว่ามันถึงเวลาต้องแชร์ชีวิตของเราส่วนหนึ่งให้กับใครสักคนที่คอยรับผิดชอบดูแล แล้วแนทเข้ามาเติมเต็มทำให้ผมรู้สึกกว่ามันน่าจะไปได้นะ อย่างน้อยมันเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในชีวิตเราที่ไม่เคยเจอใครทำกับเราขนาดนี้มาก่อน

ไม่ต้องพูดถึงขั้นเป็นสามี-ภรรยา แค่เป็นแฟนเขตต์กับแนทก็ต้องใช้เวลาเรียนรู้และปรับตัวพอสมควร

           เขตต์ : ผมนี่ไม่มีเลยนะตอนเป็นแฟนกันเดินจูงมือไม่มีนะ แต่แนทจูงมือตลอด เขาเป็นคนขี้อ้อนไง เพราะเป็นลูกคนเล็ก และเป็นคนขี้งอนแบบไร้สาระมาก เวลาผมปรี๊ดขึ้นมาทีเขาก็จะ “พูดดี ๆ ก็ได้ทำไมต้องว่า” คือเขาเป็นคนขี้งอนส่วนผมเป็นคนขี้โมโหหงุดหงิด แนทนี่เวลาผิดต่อมนิดนึงงอนเลย ส่วนผมขี้หงุดหงิด แต่เราก็พยายามลดลงไง เพราะรู้ข้อเสียรู้นิสัยของเราอยู่แล้วว่าเป็นคนเจ้าอารมณ์ ขี้โมโห พยายามไม่โมโหง่ายนะ รอดูท่าทีก่อน ส่วนแนทก็ขี้งอนมาก งอนลมเพลมพัดมาก ขับรถไปด้วยกันบางทีพูดอะไรผิดหูก็งอนแล้ว ผมก็เฉย ๆ เขาก็งอนเองง้อเอง มันมีข้อเสียของคนทั้งคู่แหละ คนหนึ่งขี้งอนอีกคนขี้โมโหก็ลดลงมา เขาก็งอนน้อยหน่อยผมก็โมโหน้อยหน่อย ต่างคนต่างลดลงมาก็อยู่ด้วยกันได้

ที่ยอมปรับยอมลดข้อเสียของตัวเอง เพราะมีเหตุการณ์รุนแรงหรือเปล่า

           เขตต์ : ไม่มีนะ ผมรู้สึกอย่างนี้ คนเราถ้ารอให้ถึงจุดพีกหรือรอให้ถึงขั้นแตกหัก บางครั้งมันอาจจะไม่มีโอกาสแก้ตัวนะ คือไม่จำเป็นหรอกที่เราจะต้องมีประสบการณ์เลวร้ายหรือรุนแรงถึงจะยอมปรับได้ แต่พอถึงจุดหนึ่งผมรู้สึกจะทะเลาะไปทำไมในเมื่อทะเลาะกัน สุดท้ายเราก็ต้องกลับมาคุยกันอยู่ดี มันมีหลายอย่างที่ผูกพันกัน มีข้อดีของเขาหลายแง่มุมเราก็มองข้ามจุดข้อเสียของเขาไปสิ

          แนท : สุดท้ายมันก็รักกันน่ะพี่ ถามว่างอนไหม ก็มีบ้าง แต่พอสักพักเรารู้สึกเองแหละ แล้วมันมีประโยชน์อะไร สุดท้ายก็กลับมาคุยกันงอนปุ๊บพอรู้ตัวก็รีบกลับมาคุยกันดีกว่า

           เขตต์ : ก็โอเค. มันก็เลยทำให้มีที่มาของสเต็ปต่อไปคิดว่าจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน

แต่งงานกันแล้วภรรยางอนหนักกว่าเดิม

           เขตต์ : ไม่หนักแต่เพราะเราอยู่ด้วยกัน 24 ชั่วโมง เรื่องมันเยอะขึ้น เลยได้เห็นทุกแง่ทุกมุม เพราะฉะนั้นทุกอารมณ์ไม่สามารถเก็บไว้ได้ เมื่อก่อนตอนเป็นแฟน เฮ้ย ๆ อยู่ต่อหน้าแฟนทำเป็นเนียนไปก่อน แต่พออยู่ด้วยกันเขาจะสังเกตเห็นเองว่าเราไม่ไหวแล้ว เริ่มเครียดเริ่มเก็บกด ปกติบางทีเราเอาสิ่งไม่พอใจเก็บไว้ข้างในได้ แล้วไประบายออกกับอย่างอื่นได้ แต่ตอนนี้ระบายไม่ได้เพราะอยู่กันตลอด 24 ชั่วโมง มีอะไรก็ต้องคุย

          แนท : พอแต่งงานปุ๊บมันก็เรื่องเยอะขึ้นอยู่ด้วยกันตลอดเวลาก็มีเรื่องต้องปรับอีก จากอยู่คนเดียวพ่อแม่ตามใจก็ต้องปรับ แต่จริง ๆ แนทว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่เป็นเรื่องจุ๊กจิ๊ก

           เขตต์ : อย่างเรื่องล้างจานก็เป็นเรื่องได้ คอนโดฯ ผมไม่สะดวกมีแม่บ้าน แต่จะมีแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดทุกอาทิตย์ แนทเป็นคนที่ไม่เป็นแม่บ้านเลย ทำกับข้าวก็ไม่ได้ผมต้องทำให้ ความสะอาดบ้านมีแม่บ้านมาทำให้ แต่เรื่องเก็บกวาดรายละเอียดก็เป็นผม คือเราค่อนข้างเห็นอกเห็นใจกันมากกว่านะ และมีวิธีการเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยกัน เขาก็ทำงานหนักอยู่แล้วผมก็ทำงานหนัก แต่ผมถือว่าเขาทำงานหนักกว่าผม พอมาถึงห้องผมอยากให้เขานั่งเฉย ๆ ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมทำเอง

ไหนบอกสามีไม่เอาใจไง

          แนท : นี่คือความน่ารักไง บางทีแนททำงานข้างนอกกลับมาแล้วเหมือนเหนื่อย แล้วแนทเป็นคนที่ไม่ชอบ เรื่องของเรื่องตอนเด็ก ๆ การล้างจานเป็นการทำโทษของแม่นะ แนทรู้สึกการทำงานบ้านเหมือนเป็นการถูกทำโทษแนทก็เลยจะไม่ชอบตั้งแต่เด็ก ๆ ให้แนทไปหาเงินดีกว่าทำงานบ้าน แนทเหนื่อย เรื่องงานบ้านแนทขอเถอะไม่ไหว

แต่งงานแล้วสามีมีหวานขึ้นบ้างไหม

          แนท : แนทว่ามันมีความสนิทกันมากขึ้นตอนนี้แนทมีความรู้สึกว่าก็เออ...อยู่กันจนตายแหละ ก็จะมีความเข้าใจกันดูแลกัน แต่พี่เขตต์จะน่ารักมากพอแต่งงานแล้ว คือแนทเป็นคนเดินแล้วล้มตลอดเวลา ขนาดรองเท้าไม่มีส้นยังเดินแล้วล้มเลยแบบเพี้ยนน่ะพี่ เขาก็จะคอยดู และเดี๋ยวนี้พี่เขตต์เดินจูงมือแนทแล้ว จากเมื่อก่อนเราพยายามแงะมือเขามาจูง ตอนนี้เขาก็จะรู้สึกแล้วถ้าไม่จูงกันมันก็จะรู้สึกแปลก ๆ

ทำไมล่ะพอแต่งงานแล้วถึงยอมจูงมือภรรยาผิดกันกับตอนเป็นแฟน

           เขตต์ : มันชินมั้ง สมัยก่อนไปดูหนังก็ไม่ได้เดินจูงมือ ตอนนี้เดินจูงมือเดินกอดไปเรื่อย คือของผมเริ่มจากศูนย์แล้วไปร้อย แต่ผู้ชายบางคนมักจะมีโปรโมชั่น ของผมนี่แรก ๆ ให้เห็นธาตุแท้ความชั่วร้ายของผมว่าเป็นยังไงบ้าง รับได้ก็รับ

ความโรแมนติกล่ะเขตต์มีบ้างไหม

          แนท : เขาก็มีตลอด คือทุกวันนี้เขาก็เป็นเหมือนปกติ แนทจะนอนหลับก่อนตลอดเขาก็จะดูแลตอนนอน แต่เรื่องเซอร์ไพรส์ไม่มี แต่จะเป็นความน่ารัก จากอาทิตย์หนึ่งพูดคำว่ารัก 2 ครั้ง ทุกวันนี้ก็จะพูดได้โดยที่ไม่ต้องกระตุ้น

           เขตต์ : เวลาออกไปทำงานมีหอมเมียก่อนนอนนะ มันเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ คือเราไม่คุ้นเคยนอนคนเดียวมาตลอด พอต้องมานอน 2 คนก็แบบ...แล้วเวลาแนทนอนเขานอนไม่รู้เรื่องเลย วันไหนถ้าผมไปถ่ายละครตอนเช้า 6 โมง ผมต้องตื่นแล้ว แต่เขายังหลับไม่รู้เรื่อง ผมก็จุ๊บเขาก็ไม่รู้สึกนะ แค่เหมือนฝัน เขาบอกเมื่อเช้าที่รักจุ๊บเขาหรือเปล่า มีงง ๆ นึกว่าฝันหรือเปล่า

เขตต์ ฐานทัพ -  แนท เปรมิกา

สามีต้องหอมต้องจุ๊บภรรยาก่อนไปทำงาน แต่ภรรยาชอบหอมสามีทุกวัน

           เขตต์ : ไม่ได้หอมแค่ครั้งเดียวด้วยนะ แต่หอมวันละหลายรอบด้วย

          แนท : แนทหอมวันละร้อยรอบ แนทชอบกลิ่นผิวตัวของพี่เขตต์ แนทว่าทุกคนต้องมีกลิ่นผิวของแต่ละคน แนทจะรู้สึกกลิ่นผิวพี่เขตต์หอมอ่ะ เยอะป่ะล่ะ (ภรรยาหันมาถามสามี สามีก็พยักหน้าเหมือนจะยอมรับว่าภรรยาเยอะจริง ๆ)

นอกจากหอมยังอยากให้สามีบอกรักทุกวัน

           เขตต์ : ก็เห็นถามทุกวัน และถามวันละหลายครั้งด้วยนะ ผมก็บอกไม่รัก แหม...ถามทุกวันบอกทุกวันก็เลี่ยนสิ แถมพอแต่งงานยังขี้หึงกว่าเดิมด้วยนะ

          แนท : พี่เขตต์บอกฮอร์โมนเมียพลุ่งพล่าน

           เขตต์ : อย่างมีเด็กผิวขาว ๆ เดินมาแล้ว ผมเผลอไปมองนิดเดียว เขาจะ...ขอเบอร์เลยมั้ยล่ะ คือเขาก็พูดเล่นนั่นแหละแต่เหมือนดักคอไง เมื่อก่อนไม่ไงจะเป็นแบบ ที่รักผู้หญิงคนนี้สวย น้องคนนี้น่ารักจังเลย ชี้ให้ดู แต่ตอนนี้พอเราเผลอมองเอาแล้ว งานเข้าแล้ว

          แนท : แนทก็ไม่รู้นะที่มันเป็นไปเอง แนทว่าน่าจะเป็นกับผู้หญิงทุกคนหรือเปล่า พอแต่งงานแล้วเริ่มเป็นของตายไงพี่ เลยหวงขึ้น เมื่อก่อนก็จะแบบเอ้าก็ลองดูถ้าแรดไปเดี๋ยวฉันไปนะ แต่พอแต่งงานไม่ได้แล้วไง เริ่มเป็นของตายก็เริ่มหึงเริ่มหวงมากขึ้นซึ่งมันเป็นไปเอง คือเวลาไปไหนพี่เขตต์จะบอกทุกครั้งว่าไปไหนทำอะไร แต่เราจะแบบถามมากขึ้นเมื่อก่อนจะไม่ถามมาก แต่เดี๋ยวถามมากขึ้น ไปกับใคร ไปอะไรยังไง แล้วโทรศัพท์ของพี่เขตต์ก็ดูน่าจะหยิบขึ้นมาดูมากกว่าปกติไม่รู้เป็นอะไร เมื่อก่อนแนทไม่ดูเลยนะ สำหรับแนทไม่มีอะไรปิดพี่เขตต์ดูได้ทุกอย่างของแนทเลย แต่พี่เขตต์ก็ไม่ดู

สามีคงปลื้มแย่เลยสิที่ภรรยาออกอาการหึงขนาดนี้

           เขตต์ : โอ้...ไม่นะ ผมไม่นะ ก็ปกติ

แต่งงานแล้วดูเหมือนภรรยาจะง้องแง้งกว่าเดิม

           เขตต์ : ก็ง้องแง้งเป็นปกติจนชิน แต่ผมจะไม่พูดเริ่มนิ่ง ๆ พอเขาเห็นผมนิ่งไปปุ๊บเขาก็จะไปแล้ว

          แนท : จากที่เราพัวพันอยู่ก็จะเริ่มออกไปทำอย่างอื่นก่อนแป๊บหนึ่งรอให้อารมณ์ดีนิดนึง แล้วค่อยกลับมาใหม่ ก็ไม่ต้องทะเลาะกันก็นิ่ง ๆ ไป เบลอ ๆ ไป

           เขตต์ : คืออยู่กันมาจนรู้จังหวะแล้วไง ที่มันนิ่ง ๆ จะเริ่มนับหนึ่งแล้วนะ (หัวเราะ)

การเป็นชีวิตคู่ที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนความเป็นตัวเอง

           เขตต์ : ปรับเยอะ เพราะการแต่งงานเป็นเรื่องของคนสองคนที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแล้ว เพราะฉะนั้นจะไม่ใช่คนคนเดียวแล้ว มีอะไรต้องคิดเผื่ออีกคนตลอด ไม่ใช่ว่าการเป็นแฟนกันพอถึงจุดพีกมาก ๆ มันแตกหักต่างคนต่างไปก็จบ แต่นี่ไม่ใช่ เราเริ่มจะสร้างครอบครัวด้วยกัน ทำยังไงก็ได้ให้ครอบครัวของเราประคองไปให้ได้ตลอดรอดฝั่ง เราก็เลยต้องปรับในทุกเรื่อง ทั้งความรู้สึก พฤติกรรมส่วนตัว เรื่องความเข้าใจ เรื่องของอารมณ์ อย่างพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปเลยคือผมปาร์ตี้น้อยลง จากเมื่อก่อนปาร์ตี้ อาทิตย์ 2-3 วัน ตอนนี้เหลืออาทิตย์ละวันหรือบางอาทิตย์ก็ไม่ไปเลย ซึ่งมันปรับไปเองโดยอัตโนมัติ เพราะมีคนรอเราอยู่ เมื่อก่อนไม่มีใครรอเราก็ไปจนถึงเช้าก็มี

          แนท : ตอนเป็นแฟนกันเขาแค่โทร.บอกคืนนี้เราไปที่นี่นะ แล้วแนทก็นอนหลับไป

           เขตต์ : แต่ตอนนี้มีคนนอนเฝ้าอยู่ไง พอเปิดประตูเข้าไปปุ๊บเขาจะรู้ทันทีมันกลับกี่โมงกลับ 6 โมงเช้า

ไหนบอกแนทเป็นคนนอนหลับไม่รู้เรื่องเลยไม่ใช่หรือ

          แนท : ถ้าพี่เขตต์อยู่ด้วยจะนอนหลับไม่รู้เรื่องเลย แต่ถ้าพี่เขตต์ไม่อยู่จะแบบนอนไม่หลับเหมือนฮอร์โมนเมียมา

           เขตต์ : ถ้าผมอยู่เขาจะหลับสนิทแบบผมจะทำอะไรเขาก็ไม่รู้สึกตัว แต่ถ้าผมไม่อยู่ห้องจะกลับมากี่โมงกี่ยามเขาจะแบบเหมือนหลับไม่สนิทพร้อมตื่นตลอดเวลา นอกจากเที่ยวน้อยลงอารมณ์ก็เย็นลง ไม่ค่อยปรี๊ดปร๊าดเท่าไหร่

          แนท : แนทเคยพลาดครั้งหนึ่งเรื่องการตัดสินใจหลังจากแต่งงานแล้ว ด้วยความที่เราทำงานเอง หาเงินเอง แนทไปซื้อคอนโดฯ ที่เชียงใหม่ ไปเองซื้อเองโดยไม่ได้บอกเขา เพราะไม่ได้คิดอะไร คิดว่าเงินตัวเอง ซึ่งพี่เขตต์ก็โกรธตอนแรกเราไม่เข้าใจทำไมเขาต้องโกรธด้วย แต่จริง ๆ เราก็ลืมไปว่าเราแต่งงานแล้วการตัดสินใจอะไรทุกอย่างเหมือนต้องคุยกัน แนทก็ขอโทษเขานะ

แต่เห็นว่าแนทเป็นคนติดแฟนมาก

          แนท : พอแต่งงานแนทก็ไม่ไปไหนเลยนะ พอทำงานเสร็จก็กลับบ้าน

           เขตต์ : ที่ไม่ยอมไปไหนเพราะเขาเป็นคนติดแฟนต่างหากล่ะ จนไม่ยอมไปไหน ผมไล่ให้ไปกินข้าวกับเพื่อนเขาก็ไม่ไป

แล้วเขตต์ล่ะติดแฟนหรือเปล่า

           เขตต์ : เมื่อก่อนผมไม่เคยติดแฟนมาก่อน แต่ตอนนี้ติดเยอะขึ้นมากนะ ถามว่าติดเมียไหมก็ติดนะ ล่าสุดเขาไปทำงานต่างประเทศ 2 วัน ผมนอนน้ำตาเปียกหมอนเลยนะ ดีใจที่เขาไม่อยู่ (หัวเราะ) มันประหลาดไง คนเคยนอน 2 คนพอมานอนคนเดียว อ้าวเออ...เริ่มไม่ชินแล้ว

เขตต์ค่อนข้างเป็นคนเจ้าชู้เงียบ ๆ นิ่ง ๆ เนียน ๆ หาตัวจับยากเพราะไม่ได้ทำแบบโจ่งแจ้ง แต่พอคบกับแนทไม่เหลือเค้าความเจ้าชู้เลย ประมาณว่าแนทเอาเขตต์อยู่

          แนท : ไม่หรอกพี่ แนทไม่ได้มองอย่างนั้น แต่มองว่ามันคือความเกรงใจที่พี่เขตต์มีให้มากกว่า แนทว่าผู้ชายเจ้าชู้ถ้าเราไปบอกห้ามเจ้าชู้นะ เขาจะเลิกป่ะล่ะ ไม่เลิกหรอก แต่สุดท้ายเราต้องทำให้เขารู้สึกว่าเขาต้องเลิกเอง

           เขตต์ : ไม่รู้สิ ผมรู้สึกว่าถ้าผมจะมีภรรยาสักคนต้องเป็นคนแบบนี้แหละถึงจะอยู่กับผมได้ แล้วเวลาผมอยู่กับแนทผมสบายใจ ไม่ต้องรู้สึกว่าจะไม่ปลอดภัย ผมมองและเห็นอะไรหลายอย่างในชีวิตมาเยอะ บางครั้งสิ่งที่มองว่าโอเค.สวยงามแต่พออยู่ด้วยจริง ๆ ไม่ปลอดภัย ผมเลือกอยู่ในที่ปลอดภัยดีกว่า เลือกอยู่ในที่ทำให้เรามีความสุข และเราพยายามทำทุกอย่างให้เขามีความสุขมันน่าจะเป็นอะไรที่ลงตัวสำหรับการมีชีวิตคู่

          แนท : แนทว่าต้องรู้จักวิธี ต้องรู้จักหยิบมาใช้ ไม่งั้นจะแต่งงานกับเขาได้ไง ก่อนแต่งงานเราต้องคิดแล้วว่าเราจะอยู่ได้ไหม และพอแต่งงานแล้วพี่เขตต์ทำให้เรารู้สึกภูมิใจที่ได้แต่งงานกับเขา

           เขตต์ : เขาเช็กหลายคนมากก่อนจะมาเป็นแฟนกับผม ว่าผมเป็นคนยังไง และสอบประวัติของผมหมดเลย เอาข่าวของผมทุกเรื่องที่อยู่ในกูเกิลทั้งหมดมาเช็กหมดว่าผมเคยคบใครยังไง แต่ในข่าวมันจะมีข้อมูลเชิงข่าวและเชิงลึก เขาบวกลบคูณหารแล้วสรุปผมคงคบได้ แสดงว่าผมคงมีพื้นฐานความดีมากกว่าความเลว

เรื่องลูกเห็นว่าเตรียมพร้อมแล้ว

          แนท : ก็ปล่อยแล้วนะ ปล่อยตั้งแต่ตอนแต่งแล้ว แต่ยังไม่มาเลยนะ มันยากจริง ๆ

           เขตต์ : ก็ลุ้นทุกเดือน

มีไปบนบานอะไรไว้บ้างหรือเปล่า

           เขตต์ : ยังไม่ถึงขั้นนั้น ตอนนี้ยังแบบว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตนก่อน เดี๋ยวจะเริ่มแล้ว เราวางแผนไปตรวจสุขภาพแล้ว แนทแข็งแรงดีพร้อมที่จะมีน้องได้ สเต็ปต่อไปอีกประมาณเดือนสองเดือนยังไม่ติดอีก เราจะเริ่มไปพบหมอเบา ๆ แล้วว่าเป็นยังไงไข่ตกปกติไหม เชื้อผมแข็งแรงพอหรือเปล่า ถ้ายังไม่สำเร็จอีกต้องพึ่งไสยศาสตร์แล้ว เดี๋ยวค่อยว่ากันเป็นสเต็ปไป แต่ผมว่าพยายามจะให้ติดภายในปีนี้

          แนท : เขาอยากให้ลูกเกิดปีเดียวกับเขา คือปีมะเส็งซึ่งปีหน้าไง

           เขตต์ : ผมมองว่าลูกเกิดมาก็เป็นนายพ่อแม่แล้ว ถ้าลูกยิ่งข่มพ่อแม่จะยิ่งไปกันใหญ่ เพราะปีมะโรงปีนี้มันแรงไง

คำมั่นสัญญาหรือข้อกำหนดที่มีให้ต่อกันในการใช้ชีวิตคู่

           เขตต์ : การเอาใจเขามาใส่ใจเรามันต้องแชร์ความรู้สึกในทุก ๆ มุมทุก ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวของเราหรือของเขา ต้องเข้าใจว่าเขาเป็นยังไง และเข้าใจตัวเราเป็นยังไง ถ้า 2 คนมีความเข้าอกเข้าใจ มีการเกรงใจซึ่งกันและกันในการทำอะไร ผมเชื่อว่าการประคองชีวิตคู่น่าจะเป็นไปอย่างราบรื่น และเราต้องมองข้ามบางสิ่งบางอย่างไปบ้าง และเก็บบางสิ่งบางอย่างที่เป็นสิ่งดี ๆ เอาไว้ รู้จักเห็นใจกันมากขึ้น ลดความเป็นตัวเองลง และให้น้ำหนักกับคนที่เป็นคู่ชีวิตเรามากขึ้น ทุกวันนี้ชีวิตคู่ผมมีความสุขมาก

          แนท : แนทว่าหลัก ๆ ก็ต้องให้เกียรติกัน ผู้ชายเป็นสามีต้องให้เกียรติเขา และที่แนทเคยบอกพี่เขตต์แต่แรกและเราทำกันมาตลอด คนรักกันจะไม่ทำร้ายจิตใจกันโดยตั้งใจ ถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่เราทำแล้วเขาจะรู้สึกแย่หรือเสียใจก็อย่าทำ คือการทำร้ายจิตใจกันโดยไม่ตั้งใจ แนทเชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ใช่แบบรู้ทั้งรู้แต่ก็ยังทำ มันก็อยู่กันไม่ได้ ซึ่งทุกวันนี้ชีวิตคู่ก็ดีค่ะ ชีวิตมันเต็ม เชื่อว่าถ้ามีลูกจะยิ่งดีขึ้นไปอีก






ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ปีที่ 38 วันที่ 25 กรกฎาคม-7 สิงหาคม 2555 Vol.1833


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เขตต์-แนท ความน่ารักของภรรยาขี้งอน กับสามีขี้หงุดหงิด อัปเดตล่าสุด 26 กรกฎาคม 2555 เวลา 14:59:41 2,250 อ่าน
TOP