เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
"เรามีเรื่องต้องคุยกัน" หากได้ยินประโยคนี้เมื่อไหร่แน่ใจได้เลยว่าจะต้องเป็นเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน โดยหนึ่งในเรื่องที่มักจะถูกหยิบยกมาพูดกัน ก็คือ เรื่องสถานะทางการเงิน โดยเฉพาะเมื่อต่างฝ่ายต่างตัดสินใจแล้วว่าจะย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน หรือเปลี่ยนสถานะจากแฟนมาเป็นสามีภรรยา ซึ่งถ้าหากไม่มีการพูดคุย ตกลง หรือทำความเข้าใจกันให้ดี ก็จะนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งและหย่าร้างได้
แต่ในความเป็นจริงน้อยคนนักที่ยอมพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา และไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นการพูดคุยเรื่องนี้กันอย่างไร เพราะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายรู้สึกขุ่นข้องหมองใจ หรือคิดว่าตัวเองเป็นคนประเภทเห็นเงินสำคัญกว่าความรัก ฉะนั้น ก่อนที่จะเริ่มต้นพูดคุยเรื่องนี้กับคนรัก ควรจะเตรียมตัวเอาไว้ล่วงหน้าด้วยทริคเหล่านี้
1. ปรับตามสถานการณ์การพูดคุยเรื่องเงินไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละคน แต่ไม่ว่าอย่างไรก่อนจะเข้าเรื่องอาจจะเกริ่นนำสักนิดให้อีกฝ่ายรู้ตัว และดูท่าทีด้วยว่าพร้อมจะพูดคุยหรือไม่ โดยการเริ่มต้นด้วยคำถาม อย่างเช่น เป้าหมายในการออมเงินคืออะไร หรือจะใช้เงินออมทำอะไรบ้าง เป็นต้น จากนั้นค่อย ๆ เผยสิ่งที่คุณอยากพูดออกไป
2. พิจารณาจากลักษณะการใช้เงินของแต่ละคนการเปิดบัญชีร่วมกันอาจไม่ใช่วิธีที่เหมาะสำหรับคู่รักทุกคู่เสมอไป ทั้งนี้ทั้งนั้นการบริหารจัดการเงินควรขึ้นอยู่กับอุปนิสัยการใช้จ่ายของแต่ละคน ดังนั้น ก่อนอื่นควรลองสำรวจดูว่าแต่ละคนมีวิธีการจัดการเงินของตัวเองอย่างไร จากนั้นก็ค่อยปรับเข้าหากัน ซึ่งถ้าหากเห็นแล้วว่าไม่เหมาะกับการรวมบัญชี ก็ใช้แบบแยกบัญชี แต่เก็บเงินออมไว้ในบัญชีเดียวกันก็ได้
3. ปรึกษาเรื่องเงินให้เป็นนิสัยเพราะชีวิตของคนเราไม่เคยมีอะไรแน่นอน เหตุการณ์ไม่คาดคิดสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ฉะนั้น จึงควรเตรียมตัวให้พร้อม โดยการหันหน้ามาพูดคุยกันให้เป็นกิจจะลักษณะ เพื่อให้ทั้ง 2 คนรู้ความเคลื่อนไหวของกันและกัน อย่างเช่น เดือนละครั้ง หรือปีละ 2 ครั้ง ช่วงกลางปีกับปลายปี เป็นต้น ถึงแม้จะดูเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะเกิดปัญหาอะไรก็ตาม
4. จำกัดขอบเขตการใช้เงินกองกลางหากคุณกับคนรักใช้บัญชีธนาคารเดียวกัน ควรแบ่งแยกจำนวนเงินที่แต่ละฝ่ายสามารถนำไปใช้จ่ายได้ให้ชัดเจนตั้งแต่แรกเริ่ม อย่างเช่น หากคุณหรือคนรักต้องการจะซื้อสิ่งของโดยใช้เงินจากกองกลาง ก็พูดคุยจัดเรื่องจำนวนเงินที่จะถอนออกให้เรียบร้อย ทั้งนี้ ไม่ได้ชี้ทางให้คุณกลายเป็นคนตระหนี่ เพียงแต่เป็นการป้องกันมิให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้เงินจนเกลี้ยงบัญชีนั่นเอง
5. ตั้งเป้าหมายบนความเป็นจริงสุดท้ายการพูดคุยเรื่องเงินควรจบด้วยการตั้งเป้าหมายร่วมกัน และเป็นเป้าหมายที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นไปได้ อย่างเช่น คุณทั้ง 2 คนตกลงกันว่าจะซื้อบ้านหรือมีลูกในอีก 5 ข้างหน้า ก็ลองนึกภาพตามไปด้วยว่าสามารถจะทำให้เกิดขึ้นจริงได้หรือไม่ โดยรวมไปถึงภาระทางหนี้สิน หน้าที่ความรับผิดชอบที่อาจตามมาด้วย
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตอนนี้ "เงิน" กลายมาเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับทุกคน อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างครอบครัวในอนาคต ดังนั้น ควรพูดคุยและตกลงกันเรียบร้อยตั้งแต่เนิ่น ๆ จะได้ไม่เกิดความขัดแย้งตามมาในภายหลัง และในกรณีที่มีปัญหาหรือติดขัดส่วนใดก็ช่วยกันแก้ปัญหา มิใช่กล่าวโทษว่าเป็นความผิดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงผู้เดียว
