x close

ครอบครัวคือหนึ่งเดียวกัน วริศรา-คฑา มหากายี

ความรัก

ครอบครัวคือหนึ่งเดียวกัน วริศรา-คฑา มหากายี
(Woman’s Story)

         หายหน้าหายตาไปจากวงการบันเทิงไปเสียนานเลยนะคะสำหรับสาวคนนี้ คุณโรส วริศรา ลี้ธีระกุล (มหากายี) หลังจากแต่งงานไปทำหน้าที่ภรรยาที่แสนน่ารักให้กับสามีสุดที่รักอย่างคุณโอ๊ค คฑา มหากายี ซึ่งทั้งสองใช้เวลาบ่มเพาะเมล็ดความรักจนเติบโตมาเป็นต้นรักที่แข็งแรงกว่า 19 ปี

         และวันนี้ทั้งคู่ก็พร้อมที่จะสร้างครอบครัวให้อบอุ่นมากยิ่งขึ้นกับอีกหนึ่งชีวิตน้อยๆ ผลิตผลจากความรัก ซึ่งจะมาเติมเต็มทุกสิ่งทุกอย่างให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่กว่าที่ต้นรักจะมั่นคงได้ถึงขนาดนี้คงต้องไปติดตามกันแล้วค่ะว่าต้องผ่านเรื่องราวอะไรกันมาบ้าง...

พบเจอและรู้จักกับสามีได้อย่างไรคะ

         โรสกับคุณโอ๊คมารู้จักกันด้วยความบังเอิญค่ะ (หัวเราะ) คือตอนนั้นโรสได้มีโอกาสเข้าไปประกวดนางงาม ซึ่งงานนั้นพอดีว่าคุรแม่ของคุณโอ๊คท่านมาเป็นสปอนเซอร์ให้ค่ะ แล้วด้วยความบังเอิญอีกแหละที่โรสชนะการประกวดในครั้งนั้นก็เลยต้องมาช่วยทำงานให้กับทางบริษัทของคุณแม่สามี ทำให้ได้มีโอกาสสนิทสนมกับคุณแม่ก่อน เวลาไปออกงานต่างๆ ก็จะต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งตัวที่บ้านของท่าน ก็พลอยทำให้โรสได้เห็นคุณโอ๊คไปด้วยค่ะ ตั้งแต่ยังใส่ขาสั้นอยู่ม.6 กันอยู่เลยนะ (ยิ้ม) ตอนนั้นที่โรสไปประกวดมิสเอเชียก็อยู่ในวัยเดียวกันกับเค้านี่แหละค่ะ ช่วงแรกๆ ก็ไม่ได้คิดว่าจะมาชอบกัน เพราะว่าคุณแม่ของคุณโอ๊คท่านก็เอ็นดูให้เป็นเหมือนพี่น้องก็คือจะเข้าออกบ้านเค้าบ่อย อย่างบางทีโรสไปงานกลับดึกๆ ก็ไปนอนที่นั่นแล้วที่บ้านก็จะมีห้องเตรียมไว้ให้โรสนอนอยู่แล้วเหมือนเป็นญาติกันค่ะ มันเห็นกันบ่อยๆ จนยังนึกในใจว่ารู้สึกเหมือนเป็นพี่น้องกันมากกว่า

         ส่วนคุณแม่ของโรสท่านก็สนิทกับคุณแม่ของคุณโอ๊คอยู่ก่อนหน้าที่จะมาเป็นแฟนกันแล้วนะคะ ทีนี้พอเวลาผ่านไปได้สักพักหนึ่งอยู่ๆ พอมองตากันแล้วมันก็เปลี่ยนสถานะไปเองค่ะ (หัวเราะ) คือก็ไม่ได้มีสปาร์คจี๊ดจ๊าดอะไรกันหรอกนะคะ อยู่ๆ มันก็เหมือนเริ่มมีการเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น ตัวโรสเองก็เลยคิดว่าความรู้สึกแบบนี้มันน่าจะมีอะไรพิเศษมากกว่าเพื่อนแล้วแหละ (ยิ้ม) เพราะว่ามันเริ่มมีคำว่าเห็นใจ อยากดูแล อะไรต่างๆ ทำนองนี้นะคะ โดยความรู้สึกมันเกิดหลังจากผ่านการรู้จักกันมาสองปีคือที่เจอกันตอนนั้นอายุ 16 ปีผ่านไปสองปี ก็อายุประมาณ 18 ปี

         จากนั้นเราก็เริ่มเปลี่ยนสถานะจากเพื่อนกลายมาเป็นคนพิเศษแล้วก็มาเป็นแฟนกันค่ะ เรื่องของเรื่องมันมีที่มาจากที่เราสองคนจะต้องไปสอบเอนทราซ์เข้ามหาวิทยาลัยแล้วคุณโอ๊คเค้าเก่งเลขก็เลยมาสอนโรส ส่วนตัวโรสก็เป็นคนขับรถเก่งก็มาสอนเค้าขับ (หัวเราะ) สลับกัน ทีนี้พอเราเจอกันบ่อยๆ จากที่เคยคุยกันแต่เรื่องกิน เรื่องเที่ยว มันก็มีเรื่องต้องมาสอน ต้องมาตั้งความหวังว่าเธอน่าจะทำได้แบบนั้นแบบนี้นะ ก็เลยทำให้สนิทกันมากขึ้น เริ่มมีอารมณ์แบบว่าลุ้นแทน อยากให้เค้าได้ ก็เลยเห็นใจกันมาขึ้นจนกลายมาเป็นแบบนี้ (หัวเราะ) คือมาแฟนกันค่ะ

คบกันนานแค่ไหนถึงได้ตัดสินใจแต่งงานกันคะ

         โรสแต่งงานตอนอายุ 30 ปีนะคะ เราคบกันเป็นแฟนมาตั้งแต่อายุ 18 ตอนนี้โรสก็อายุ 37 แล้ว (หัวเราะ) ก็เท่ากับเกือบ 20 ปีได้ คบกันนานแล้วก็นานมากอีกกว่าจะแต่งงาน เพราะก็เหมือนคนทั่วไปคู่อื่นๆ ที่เค้าเป็นกันนะคะ มีรัก มีเลิกเราสองคนก็มี พอคบกันได้ 3 ปีก็เริ่มมีงอน มีโกรธกันเล็กๆ น้อยๆ เข้าเจ็ดปีก็เริ่มแย่ๆ เหมือนตามล็อกที่คนอื่นเค้าเป็นกันเลย อาจจะเป็นด้วยความที่คบกันเร็วตั้งแต่เด็กๆ บางทีผู้หญิงก็จะมีนิสัยแบบติดแฟน แล้วเค้าก็เป็นผู้ชายที่อยากจะไปเที่ยว อยากไปมีสังคมกับเพื่อน มันก็เลยทำให้มีปากเสียงกัน งอนกันบ้างนิดหน่อยก็เคยเลิกกันไป แล้วกลับมาดีกันใหม่ เลิกกันไปสามเดือนสี่เดือน เหมือนไม่ได้เลิกกันเลย (หัวเราะ) แต่ก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เลิกกันไปหนึ่งปี แต่ก็ไม่ได้หายไปเลยนะคะ เพราะว่าแม่เค้ากับโรสก็ยังสนิทกันแล้วยังต้องไปออกงานด้วยกันบ่อยๆ อยู่ แต่เราก็แค่บอกว่าสถานะเปลี่ยนไป ไม่ใช่มานั่งห้ามกันเหมือนเมื่อก่อนที่แบบทำไมเธอไปไหนไม่บอกเรา ทำไมไม่โทรมาอะไรต่างๆ นานา แต่นี่ไม่ต้องตัวใครตัวมันแล้ว เรื่องของเธอ เรื่องของฉัน เวลาเจอกันก็คุยกัน ไปกินข้าวกันจบ...

เหตุการณ์ที่ทำให้รักกันและเข้าใจกันมากขึ้นจนถึงขั้นตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน

         โรสว่าอาจจะเป็นตอนหลังจากช่วงที่ทะเลาะกันแล้วก็เลิกราไป คือช่วงนั้นก็อายุประมาณยี่สิบกลางๆ นะคะ หลังจากนั้นก็มีโอกาสได้มาทำงานร่วมกันของมูลนิธิกระต่ายในดวงจันทร์ ซึ่งตอนแรกยังไม่ได้เป็นมูลนิธิตอนนั้นพอเราสองคนเรียนจบ โรสก็อยากแต่งงานมาก (หัวเราะ) เป็นแบบฉบับของผู้หญิงว่าพอเรียนจบ แต่งงาน ก็ต้องมีครอบครัว โรสก็คิดไปสารพัดเลย ทีนี้โรสก็พูดกับเค้าว่ามาแต่งงานกันเถอะนะ แต่เค้าไม่โอเค โรสก็นึกในใจว่าทำไมไม่โอเคล่ะ ตอนนั้นไม่เข้าใจก็คิดว่าฉันไม่ดีเหรอหรือว่าเธอยังไม่นิ่งพอเหรอ อะไรต่างๆ นานา ก็เถียงกันหลายสิ่งหลายอย่าง

         แต่ตอนหลังโรสก็เริ่มรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้ต้องการอะไรอีกแล้ว ส่วนเค้าก็ยังคบหาเป็นแฟนกันเหมือนเดิม ไปเที่ยวก็ไปด้วยกัน แล้วช่วงนั้นมันเหมือนกับว่ากิจกรรมที่เราทำมันเริ่มน่าเบื่อมากแล้วค่ะ สองคนก็หันมามองว่าถ้าเกิดเรายังแค่ไปดูหนัง ฟังเพลง กินข้าว ใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ เราจะต้องแย่แน่ๆ ไม่เธอก็ฉันจะต้องเบื่อกันไปเอง ก็มามองหาว่าน่าจะมีกิจกรรมอะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันเป็นกิจกรรมที่ทำร่วมกันมากกว่านี้ ก็เริ่มพากันไปขี่จักรยานก่อน ไปเก็บขยะแล้วก็ชวนเพื่อนๆ มาร่วมกันทำด้วย

         หลังจากนั้นก็ก่อตั้งเป็นชมรมขึ้นมาก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากชมรมมาเป็นมูลนิธิ มันก็เลยทำให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงของแต่ละคน ระหว่างโรสกับเค้า เลยตัดสินใจว่าเราน่าจะแต่งงานกันได้ คือตอนนั้นที่เค้ายังไม่อยากแต่งคือเค้าอาจจะมีความรู้สึกว่าโรสจะโอเคเหรอ เพราะสมัยก่อนโรสจะหาเงินง่าย ฟุ่มเฟือยใช้จ่ายเปลือง ติดแบรนด์ อะไรแบบนั้น เค้าจะรู้สึกว่าคนนี้ไม่ใช่สเปกที่จะชอบ อาจจะมีข้อบกพร่องที่เค้ารู้สึกว่าโรสยังแก้ไม่ได้ ส่วนตัวคุณโอ๊ค โรสก็อาจจะมองว่าเป็นลูกคุณหนูรึเปล่า พ่อแม่ตามใจ ยังไม่เห็นอกเห็นใจคนอื่นเลย แต่พอโรสได้มาเห็นในมุมที่เค้ามาทำงานที่มูลนิธิ คือเค้าทุ่มเท เห็นเด็กสำคัญ หลายอย่างที่โรสเห็นแล้วรู้สึกค่อยๆ ประทับใจ ก็เลยทำให้ตอนหลังที่เรามาคุยกันเรื่องแต่งมันค่อนข้างที่จะตกลงกันได้เลย โดยที่ไม่ต้องบีบคอเหมือนแต่ก่อนแล้ว (หัวเราะ) พร้อมแล้ว มันดีตรงที่ว่าโรสได้เห็นเค้าในอีกมุมหนึ่งเค้าก็ได้เห็นโรสในอีกแง่มุมหนึ่งแล้วมันก็เป็นคำตอบเองเลยว่าใช่หรือไม่ใช่

หลังจากตกลงปลงใจกันแล้วตอนนั้นมีการเตรียมงานอย่างไรบ้างคะ

         ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าจะได้แต่งงานเลยนะคะ เพราะว่าอายุ 30 แล้ว เราไม่เคยพูดเรื่องแต่งงานกันมานานมาก ประมาณว่าเบื่อแล้ว เซ็งแล้ว ไม่คุยล่ะ อยู่ๆ ในวันปีใหม่เค้าก็ไปหาโรสที่บ้าน มากับคุณแม่เค้าเอาของมาให้พ่อแม่โรสแล้วเค้าก็พูดกับคุณพ่อว่าจะมาขอโรสแต่งงาน โรสก็ตกใจ แล้วก็ขำค่ะ เพราะว่าเค้าไม่ได้บอกล่วงหน้า ก็ขำกันใหญ่ (ยิ้ม) ผู้ใหญ่ท่านก็โอเค ตกลงกันไป ซึ่งช่วงนั้นโรสกับคุณโอ๊คได้ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมก็เลยวางแผนกันว่าถ้าจะต้องจัดงานแต่งงาน เราอยากได้งานแบบที่มันไม่ฟุ่มเฟือยเกินไป ก็เริ่มทำกันเองทุกอย่างตั้งแต่ชุดเจ้าสาว เสื้อเจ้าบ่าว คือโรสเรียนจบมาทางด้านทำเสื้อผ้าก็เลยทำเอง

ส่วนเรื่องจัดงานแต่งงานก็ช่วยกันสองคน พอออกแบบเสร็จก็ไปสั่งทำเก้าอี้ ส่วนอาหารที่เลี้ยงในงานก็ใช้วิธีบอกเพื่อนๆ ในชมรม ใครมีอะไรก็หิ้วกับข้าวมาแบ่งๆ กันกิน เรื่องสถานที่เราก็ไม่ได้อุดหนุนโรงแรม คือตัวเองมีความรู้สึกว่าโรสรักธรรมชาติก็อยากให้ต้นไม้รับรู้เรื่องของเรา ก็เลยไปแต่งในสวน แต่ในขณะที่เราชอบกินอะไรก็ไปว่าจ้างมาตั้งเป็นร้านเล็กๆ หลายๆ ร้าน มันก็เป็นการกระจายรายได้ให้หลายคน เราก็มีความรู้สึกว่าการที่เราจัดงานแบบนี้มันสนุกกว่าก็เริ่มต้นในการวางแผนทำทุกอย่างเองหมดเลย แล้วเชื่อมั้ยคะพอเสร็จจากงานแต่งงานก็เปิดบริษัทออการ์ไนเซอร์เลยค่ะ เปิดจริงๆ ทำอยู่ 2 ปีก็ปิด เพราะมารู้สึกทีหลังว่าการทำบริษัทออร์การ์ไนเซอร์มันเหมือนยิ่งพุโป่งป่าง มันสิ้นเปลืองเยอะ ซึ่งมันยิ่งตัดกับเรื่องของสิ่งแวดล้อมของมูลนิธิที่ทำอยู่ก็เลยตัดสินใจปิดตัวลงค่ะ

พอวันแต่งงานมาถึงรู้สึกอย่างไรบ้างเอ่ย

         คือไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรแบบจ๊ะจ๋าหรอกนะคะ มันเป็นเรื่องที่ตลกมากกว่า พอตัวเองเป็นคนทำงานเองทั้งหมด คืนก่อนวันแต่งงานเรายังนั่งตกแต่งเก้าอี้กันอยู่เลย แล้วเราต้องแต่งานบ่ายสองโมง ช่วงเช้ายังไปคุมงานกันอยู่ว่าตรงนั้นเอาแบบนี้ แบบนั้น พอเสร็จจากตรงนั้น 11 โมงไปนั่งทำผม แต่งหน้าเสร็จ บ่าย 2 โมง แขกนั่งเต็มแล้วเราก็ค่อยเข้าไปในงาน ทำพิธีแต่งงานแบบง่ายๆ มีบาทหลวงมา งานก็จัดอยู่ในสวนรถไฟ พอเสร็จงานก็ 6 โมงเย็น พอดีถึงเวลาสวนปิด แขกก็กลับกันไปหมด เราก็กลับมาอาบน้ำที่บ้าน แต่หลังจากนั้นก็ต้องกลับไปที่สวนอีก เพื่อไปเก็บขยะ เก็บเฟอร์นิเจอร์ไปคืน ซึ่งเราไม่ได้รู้สึกเลยว่า โอ้โฮ...มันเป็นวันแห่งความปรีดี หรืออะไรคือมันลืมเรื่องตรงนั้นไป มัวแต่ไปนึกถึงเรื่องของการจัดการไปซะเยอะ แต่ก็มีรู้สึกอันหนึ่งคือโรสก็ร้องไห้นะคะในตอนที่เดินไปส่งตัวเจ้าสาว โรสก็รู้สึกว่าได้ควงคุณพ่อ แล้วท่านก็พาเดินไปส่งเราแล้วนะ และตอนที่คุณโอ๊ครับแขนโรสไป ตอนนั้นเค้าจับมือโรสแน่นเลยมันทำให้โรสรู้สึกว่าต่อไปนี้เราจะต้องเดินไปด้วยกันกับเค้าแล้วค่ะ (ยิ้ม)

ชีวิตหลังจากแต่งงานเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหนคะ

         อคือจริงๆ คุณโอ๊คเขาก็จะคอยดูแลโรสอยู่แล้วนะคะ อย่างเมื่อก่อนตอนที่ยังไม่ได้แต่งงานกันโรสจะทำงานเป็นพิธีกร หรือว่าไปงานอีเว้นท์ต่างๆ เค้าก็จะคอยขับรถไปส่งที่ทำงาน แล้วก็ไปรับเวลากลับดึกๆ เพราะว่าเค้าก็ทำงานฟรีแลนซ์อยู่ตลอด แล้วมันเหมือนเป็นปมเล็กๆ ในใจว่าเค้าไม่ได้ช่วยโรสหาตังค์เลย (หัวเราะ) เค้าพอจะช่วยแบ่งเบาอะไรได้บ้าง

         สิ่งที่เค้าช่วยได้ก็เลยจะเป็นช่วยเตรียมอาหาร ขับรถ ทำทุกอย่างให้พอแต่งปุ๊บเค้าก็ให้สัญญาว่า “ฉันจะขับรถให้เธอไปจนตลอดชีวิต” (หัวเราะ) ทุกวันนี้โรสก็เลยไม่ต้องขับรถ เค้าจะดูแลตลอด โรสก็รู้สึกว่ามันก็น่ารักดีนะ คือไม่ใช่ไม่อยากให้เค้าทำงานเพียงแต่ว่าตัวเค้ากับตัวโรสมีความกดดันในเรื่องของอารมณ์ ความอ่อนไหว อารมณ์ต่างกันอย่างคุณโอ๊คเค้าจะน้อยกว่าโรส มันก็เลยกลายเป็นว่าหลังจากแต่งงานไปแล้วทำให้โรสสบายมากกว่าเก่า และเหมือนกับว่าเค้าได้ขอดูแลโรสมาจากคุณพ่อ เพราะฉะนั้นเค้าก็ต้องดูแลโรสให้ดีมากกว่าเดิมค่ะ แต่พอมาตอนหลังๆ มีลูกกลายเป็นว่ามาดูแลลูกมากกว่า (หัวเราะ) เพราะการเป็นแม่คนเป็นงานที่หนักและเหนื่อยมาก อีกอย่างโรสก็เลี้ยงเองตลอด 24 ชั่วโมง ถึงแม้ว่าจะมีพี่เลี้ยง แต่ก็ช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ทั่วไป ซึ่งนอกจากนั้นไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงดู เล่นกับลูก ทำอาหาร ทุกอย่างโรสจะเป็นคนจัดการและทำเองหมดค่ะ ทุกวันนี้น้องช้างน้อยก็ยังทานนมแม่อยู่นะคะ ทีนี้คุณโอ๊คเค้าคงจะเห็นถึงความทุ่มเททีโรสมีให้ลูกมาก เค้าก็เลยคอยช่วยค่ะ

เดินทางร่วมกันมาจนถึงทุกวันนี้ประทับใจอะไรในตัวสามีบ้างคะ

         อืมม์..โรสว่า ก็มีหลายอย่างนะคะ (หัวเราะ) อดทนก็อดทนนะ ถ้าพูดถึงในบางเรื่องอย่างเวลาโรสงอน ซึ่งเค้าก็จะมาง้อ มาดูแล แล้วเวลาที่โรสเหนื่อย หรืออยากให้ช่วย ก็จะพร้อมช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา ไม่มีเกี่ยง อีกอย่างเวลาที่บางครั้งโรสตัดสินใจผิดพลาด ทำอะไรไม่ดี หรือพลาดไป โอเคตอนแรกเค้าอาจจะมีดุนิดหน่อย แต่ท้ายที่สุดก็ตามมาช่วยแก้ไขวิกฤตนั้นๆ ให้ผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ (ยิ้ม)

คุณโรสคิดว่าอะไรคือสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันคะ

         โรสว่าต้องคุยกันเยอะๆ ค่ะ ระหว่างภรรยากับสามี สำหรับโรสอาจจะโชคดี ตรงที่ว่าคุณพ่อคุณแม่ของเราทั้งคู่อนุญาตให้โอกาสทดลองอยู่ด้วยกันก่อนแต่งแต่ก็อยู่ในฐานะที่พ่อแม่ดูแลนะคะ ไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบมั่วชั่ว มันก็เลยทำให้เราต่างได้เห็นในมุมที่คิดว่าถ้าหากไม่เห็นก่อนแล้วไปแต่งงานกันอาจจะรับไม่ได้ อย่างเช่นทำไมเป็นคนที่เข้าห้องน้ำนานแบบนี้ (หัวเราะ) ทำไมตื่นสาย หรือไม่ก็ทำไมนอนดึกขนาดนี้ คือ เราจะรับไม่ได้เลยถ้าไม่ได้มีประสบการณ์เหล่านั้นมาก่อน ทีนี้พอเราได้รู้ถึงสิ่งเหล่านั้นแล้วเราก็สามารถที่จะไปจัดตาราง จัดสรรชีวิตได้ว่าโอเค คุณตื่นสายใช่มั้ย งั้นช่วงเช้าฉันก็จะไปทำเรื่องโน้นเรื่องนี้ของฉันก่อนก็แล้วกัน คือมันทำให้เราไม่ต้องมีภาวะตึงเครียด มันเหมือนได้ปรับตัวเข้าหากันก่อนแล้ว เพราะฉะนั้นหลังแต่งงานไปมันก็เลยทำให้เราค่อนข้างที่จะอยู่ด้วยกันได้โดยที่ไม่มีปัญหาอะไรตามมา

ช่วงเวลาที่ต้องขัดแย้งกันมีวิธีรับมืออย่างไรคะ

         เราจะคุยกันตลอดนะคะว่าเราจะไม่โกรธกันข้ามวันเด็ดขาด จะยังไงก็ตามต้องคืนดีภายในหนึ่งวัน วิธีการมันอาจจะตลกนิดหนึ่งค่ะเพราะว่าเราสองคนชอบเล่นอินเตอร์เน็ต ดังนั้น ก็จะส่งเมลมาคุยกัน (หัวเราะ) ขอโทษนะโน้นนั้นนี้ตามเรื่องนะคะ (หัวเราะ) แล้วบางทีมันเหมือนเราได้ระบายความโกรธ หรือว่าไม่พอใจอะไรก็จะเขียนอธิบายละเอียดเลย ก็จะใช้วิธีเมลคุยกนค่ะ เรามีความรู้สึกว่าคนทุกคนต้องการถูกรัก ถ้าเราโกรธกันก็แปลว่าเราต้องรู้สึกล่ะว่าเค้าไม่ได้รักเราแล้วเหรอ แล้วก็จะรู้สึกทุกข์อยู่นั่นแหละ เพราะความสุขที่สุดของเราคือการได้รับความรัก ดังนั้นเราจะมามัวนั่งโกรธกันให้มันยาวนานไปทำไม ก็เลยคิดหาวิธีว่าในเมื่อตัวเราต้องการความรัก เราก็น่าจะทำยังไงก็ได้ให้เค้ากลับมารักเราเร็วๆ หน่อย อย่าเคืองกันนานมีอะไรก็ให้รีบเคลียร์กันดีกว่าค่ะ

ครอบครัวสำคัญต่อคุณโรสอย่างไรบ้างคะ

         ตอนนี้ถ้าพูดกันตรงๆ เลยแล้วก็คุยกับสามีอยู่เหมือนกันว่าที่หนึ่งที่สำคัญสำหรับครอบครัวเลยก็คือลูกค่ะ เพราะเค้ายังเล็กอยู่ แต่ถ้าเค้าพ้นวัยที่เราจะต้องเลี้ยงดูแล้ว เราสองคนก็จะกลับมาเป็นที่หนึ่งของกันและกันเหมือนเดิมค่ะ (ยิ้ม) เพราะสุดท้ายแล้วในบั้นปลายของชีวิตลูกก็ต้องมีอนาคต มีชีวิตเป็นของตัวเอง แต่ว่าเราสองคนยังคงต้องแก่กันไปอีกนาน ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้เราก็จะทุ่มทุกๆ อย่างไรที่ลูกก่อน จะไม่มานั่งงอนกัน หรือเสียอกเสียใจว่าเธอไม่ดูแลฉัน ฉันไม่ดูแลเธอ ไม่มีค่ะ แล้วในคำว่าครอบครัวสำหรับโรสมันเหมือนพ่อแม่ลูก มันต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน ความรัก ความอบอุ่นต้องมีให้กันค่อนข้างทั่วถึง จะไปหนักที่ลูกอย่างเดียวหมดก็ไม่ได้บางทีเราก็ต้องดูแลสามีด้วยค่ะ (ยิ้ม)




ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ฉบับวันที่ 1-15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ครอบครัวคือหนึ่งเดียวกัน วริศรา-คฑา มหากายี อัปเดตล่าสุด 16 สิงหาคม 2554 เวลา 16:09:41
TOP