แหวนทอง เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกดี ๆ ที่คู่รักใช้เป็นแหวนแต่งงาน แหวนคู่ เพราะทั้งสวยหรู ดูดี มีราคา แต่จะเลือกแหวนทองแต่งงานอย่างไรให้ใช่ที่สุด เรามีเคล็ดลับวิธีเลือกแหวนทองแบบง่าย ๆ มาฝาก
คู่รักที่จะเข้าพิธีหมั้นหรืองานแต่งงานในเร็ววันนี้ คงหนักใจไม่น้อยในการเลือกแหวนหมั้น และแหวนแต่งงาน ที่เหมาะสมและสวยที่สุดสำหรับงานสำคัญกับคนที่รักมากที่สุดในชีวิต เพราะไม่รู้ว่าจะเลือกแบบไหน ดังนั้น กระปุกดอทคอมเลยอาสามาบอกเคล็ดลับเกี่ยวกับการเลือกแหวนทอง หนึ่งในแหวนแต่งงานยอดนิยม มาฝากกัน
สำหรับเครื่องประดับประเภท "แหวนทอง" ที่คู่รักหลายคู่นิยมเลือกมาเป็นแหวนแต่งงาน สัญลักษณ์แทนใจและให้ความรู้สึกผูกพันนั้น มีข้อดีคือ สวมใส่ได้ง่าย อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงรสนิยม บุคลิก และความเป็นตัวของคุณเองด้วย แต่ควรจะต้องเลือกอย่างไรดี ใครที่ยังไม่รู้ วันนี้เรามีข้อมูลมาแนะนำกันแล้ว
วิธีเลือกแหวนทอง แหวนแต่งงาน แหวนคู่ สิ่งที่ต้องพิจารณา มีดังนี้...
1. กรรมวิธีการผลิต
อันดับแรกที่ต้องรู้ คือ แหวนทองคำมีกรรมวิธีการผลิตและการเล่นลวดลายอย่างไร เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วทองคำที่นำมาทำเป็นทองรูปพรรณนั้นมักนำมาผสมกับโลหะชนิดอื่น เช่น เงิน นิกเกิล ทองแดง เพื่อเพิ่มความแข็งแรงทนทาน หรือมีการปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพอื่น ๆ เช่น สี จุดหลอมเหลว ตัวอย่างเช่น
- ทองกะรัต (Karat Gold) ได้จากการผสมทองคำบริสุทธิ์กับเงินและทองแดง
- ทองคำขาว (White Gold) ได้จากการผสมทองคำบริสุทธิ์กับแพลเลเดียม นิกเกิล และสังกะสี
- ทองสีชมพู (Pink Gold) ได้จากการผสมทองคำบริสุทธิ์กับเงินและทองแดง
ดังนั้น ปริมาณทองคำหรือความบริสุทธิ์ของทองคำนี้จะแตกต่างกันไปตามลักษณะของการใช้งานและความต้องการ
2. ขนาดกะรัต
ไม่ใช่แค่แหวนเพชรเท่านั้นที่อยู่ในรูปของกะรัต แต่แหวนทองก็มีขนาดกะรัตเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดก็จะมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป และราคาก็จะเพิ่มขึ้นตามขนาดกะรัตเช่นกัน โดยแหวนทองแท้ ไม่ประดับเพชรหรือทองคำ 96.5% จะมีขนาดกะรัต 23K แต่สำหรับใครที่ต้องการแหวนทองฝังเพชร ควรเลือกแหวนทองคำ 75% หรือทอง 18K จะมีความแข็งแรงทนทานมากกว่า
- 24K = ทองคำ 99.99% (นิยมใช้ลงทุนทองคำแท่งทั่วโลก)
- 23K = ทองคำ 96.5% (นิยมใช้ในแหวนทอง แบบไม่ประดับเพชร)
- 18K = ทองคำ 75% (มาตรฐานแหวนเพชร Fine Jewelry ที่ใช้ในแบรนด์ไฮเอนด์)
- 14K = ทองคำ 58.3% (นิยมใช้ในงานแหวนเพชร USA)
- 9K = ทองคำ 37.5% (นิยมใช้ในงานแหวนเพชรราคาย่อมเยา)
แนะนำว่าทอง 18K หรือทองคำ 75% มีคุณภาพสูงและเหมาะสมที่สุด สำหรับการเลือกทำเป็นแหวนทองฝังเพชร แหวนหมั้น แหวนทองแต่งงาน เพราะมีมูลค่าในตัวเองสูง และมีความแข็งแรง ทนทาน มากกว่าทอง 96.5% และยังเหมาะกับการสวมใส่ในชีวิตประจำวันด้วย
3. น้ำหนักทอง
น้ำหนักก็เป็นส่วนสำคัญในการพิจารณาเลือกทอง เพราะจะเป็นตัวบอกถึงปริมาณของทองคำที่ใส่ลงไปในทองกะรัตต่าง ๆ ซึ่งน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทำให้ราคาและความแข็งแรงของทองรูปพรรณสูงตามไปด้วย เนื่องจากน้ำหนักทองที่เพิ่มขึ้นจะไปช่วยลดการโค้งงอและการหักได้
แหวนทองจะมีน้ำหนักให้เลือกตั้งแต่ 2 บาท, 1 บาท, 2 สลึง, 1 สลึง, ครึ่งสลึง (ทอง 1 บาท เท่ากับ 4 สลึง) โดยอีกสิ่งที่ต้องรู้คือ ทองรูปพรรณ 1 บาท จะหนัก 15.16 กรัม เพราะร้านทองจะคิดราคาตามน้ำหนักที่ปรากฏบนตาชั่งทั้งตอนรับซื้อและขายออก ดังนั้นจะซื้อแหวนทองก็ต้องเช็กน้ำหนักให้ดี ๆ
- แหวนทอง 2 สลึง หนัก 7.58 กรัม
- แหวนทอง 1 สลึง หนัก 3.79 กรัม
- แหวนทอง ½ สลึง หนัก 1.895 กรัม
4. คุณสมบัติของทองคำ
ต้องมีความแวววาวเสมอ ทองคำจะไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจน เมื่อสัมผัสถูกอากาศสีของทองจะไม่หมองและไม่เกิดสนิม มีความอ่อนตัว เพราะทองคำเป็นโลหะที่มีความอ่อนตัวมากที่สุด เป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี สะท้อนความร้อนได้ดีอีกด้วย
5. สีของแหวนทอง
เมื่อถึงเวลาต้องเลือกซื้อแหวนทอง ถ้ามองหาแหวนทองคำแท้ ๆ ละก็ แหวนทองคำที่มีสีเหลือง (Yellow Gold) คือคำตอบ ซึ่งแหวนทองคำนี้มีข้อดีหลายประการ ได้แก่
แหวนทองคำ
ข้อดี
- มีโอกาสแพ้ของผิว (Hypoallergenic) น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับทองคำทั้ง 3 สี
- เคยได้รับความนิยมมากที่สุดในแหวนเพชรสมัยก่อน จึงเหมาะกับงานแหวนเพชรสไตล์วินเทจ
- เป็นสีทองคำที่ดูธรรมชาติมากที่สุด เพราะมีสีเหลือง
- ดูแลง่ายที่สุดในทองทั้ง 3 สี
- เพิ่ม-ลดไซซ์แหวนได้สะดวกที่สุด เพราะมีเนื้อนิ่มกว่า
- ทำให้เพชรน้ำรอง (น้ำต่ำกว่า 92%) ดูขาวขึ้นได้
- เหมาะกับผู้สวมใส่ที่มีผิวเข้ม เช่น คนเชื้อสายไทย และแขกฝั่งเอเชีย
สำหรับบางคนอาจไม่ชอบใส่แหวนทองสีเหลือง ก็ยังมีแหวนทองสีอื่น ๆ ให้เลือก เช่น แหวนทองคำขาว ซึ่งจะมีความทนทานมากกว่าทองคำ เพราะมีส่วนผสมของโลหะที่แข็งแรงกว่า หรือจะเป็น แหวนโรสโกลด์ พิงค์โกลด์ ก็กำลังเป็นที่นิยมเช่นกัน และยังมีความทนทานสูงสุด เพราะมีส่วนผสมของทองแดง แต่ก็จะไม่เหมาะกับผู้ที่แพ้ทองแดงนั่นเอง
6. ลักษณะการออกแบบ
การออกแบบทองรูปพรรณจะเน้นถึงความพิเศษ การสลักลวดลาย และความเรียบร้อย อีกทั้งยังมีการเพิ่มลักษณะของพื้นผิวเข้าไป ทั้งแบบผิวเงา แบบผิวด้าน และแบบผิวซาติน อย่างไรก็ตาม ควรเลือกดีไซน์ของแหวนทองที่เหมาะกับมือของคุณ เช่น
- แหวนทองที่หน้าแคบมาก ๆ ไม่เหมาะกับมือที่กว้างและใหญ่ เพราะจะทำให้เห็นแหวนไม่ค่อยชัด
- ถ้าชอบแหวนที่มีหน้ากว้าง แต่เป็นคนที่มีนิ้วกว้างหรือใหญ่ ก็ควรจะเลือกแหวนที่มีขอบมน
- แหวนทองที่มีลักษณะแบนเรียบ หน้าตัด จะดูสวยกว่าบนนิ้วที่เรียวยาว
- แหวนทองที่มีช่องโปร่ง จะให้ความรู้สึกบางเบา เหมาะบนมือที่กว้าง
- แหวนทองที่มีเพชรหรือพลอยเม็ดใหญ่ ก็เหมาะกับมือที่มีขนาดใหญ่เช่นกัน
- สำหรับคนที่มีมือที่เล็กและผอมบาง จะเหมาะกับแหวนทองที่มีเพชรหรือพลอยประดับเม็ดเล็ก ๆ หลาย ๆ เม็ด
7. ความประณีตและคุณภาพ
ปัจจุบันการผลิตทองรูปพรรณส่วนใหญ่จะผลิตด้วยเครื่องจักร เพราะจะได้ทองรูปพรรณที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน แต่ก็มีแหวนทองงานฝีมือที่ผลิตออกมาให้เราได้เลือกซื้อกันมากมายเช่นกัน เนื่องจากลวดลายจะสวยงามกว่าทองรูปพรรณทั่วไป อย่างไรก็ตาม ไม่ควรมองข้ามเรื่องคุณภาพ โดยจุดแรกที่ควรสังเกตคือ บริเวณจุดเชื่อมต่อ ข้อต่อ และตัวสลัก เพราะทั้ง 3 จุดนี้มักจะแตกหักได้ง่าย ดังนั้น ควรตรวจดูให้แน่ใจ พร้อมตรวจสอบแหล่งที่มาของทองที่นำมาผลิตทองรูปพรรณ ซึ่งอาจมีการประทับตราบนตัวทองรูปพรรณ โดยแหล่งที่มาต่างกัน ราคาก็จะต่างกันไปด้วย
8. โลโก้หรือสัญลักษณ์ร้านทอง
บางร้านทองอาจไม่มีใบรับประกันสินค้าให้ แต่จะดูที่โลโก้บนเนื้อทองแทน โดยตราสัญลักษณ์จะบ่งบอกที่มาของทองชิ้นนั้นว่าผลิตที่ไหน มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ ซึ่งบางร้านทองจะเป็นทั้งผู้ค้ารายใหญ่ที่ผลิตทองขายส่งให้กับร้านทองรายย่อย และเปิดร้านขายปลีกเอง ดังนั้นให้สังเกตตรวจสอบตรายี่ห้อร้านบนเนื้อทองให้ละเอียด ซึ่งต้องเห็นตัวอักษรหรือตรายี่ห้ออย่างชัดเจน โดยแหวนทองจะดูที่ใต้ท้องแหวนข้างใน
ทราบเคล็ดลับวิธีเลือกแหวนทองแต่งงานกันไปแล้ว แต่อีกข้อที่สำคัญในการเลือกแหวนแต่งงานก็คือควรเลือกจากความชอบของตัวเองด้วย ถ้ารู้สึกว่าชอบวงนี้และมีความสุขถ้าจะใส่ติดนิ้วไปตลอดชีวิต แหวนทองวงนั้นแหละใช่ที่สุด !
ขอบคุณข้อมูลจาก finejewelthai.com, abovediamond.com, jewelrynotes.com
สำหรับเครื่องประดับประเภท "แหวนทอง" ที่คู่รักหลายคู่นิยมเลือกมาเป็นแหวนแต่งงาน สัญลักษณ์แทนใจและให้ความรู้สึกผูกพันนั้น มีข้อดีคือ สวมใส่ได้ง่าย อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงรสนิยม บุคลิก และความเป็นตัวของคุณเองด้วย แต่ควรจะต้องเลือกอย่างไรดี ใครที่ยังไม่รู้ วันนี้เรามีข้อมูลมาแนะนำกันแล้ว
วิธีเลือกแหวนทอง แหวนแต่งงาน แหวนคู่ สิ่งที่ต้องพิจารณา มีดังนี้...
1. กรรมวิธีการผลิต
อันดับแรกที่ต้องรู้ คือ แหวนทองคำมีกรรมวิธีการผลิตและการเล่นลวดลายอย่างไร เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วทองคำที่นำมาทำเป็นทองรูปพรรณนั้นมักนำมาผสมกับโลหะชนิดอื่น เช่น เงิน นิกเกิล ทองแดง เพื่อเพิ่มความแข็งแรงทนทาน หรือมีการปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพอื่น ๆ เช่น สี จุดหลอมเหลว ตัวอย่างเช่น
- ทองกะรัต (Karat Gold) ได้จากการผสมทองคำบริสุทธิ์กับเงินและทองแดง
- ทองคำขาว (White Gold) ได้จากการผสมทองคำบริสุทธิ์กับแพลเลเดียม นิกเกิล และสังกะสี
- ทองสีชมพู (Pink Gold) ได้จากการผสมทองคำบริสุทธิ์กับเงินและทองแดง
ดังนั้น ปริมาณทองคำหรือความบริสุทธิ์ของทองคำนี้จะแตกต่างกันไปตามลักษณะของการใช้งานและความต้องการ
ไม่ใช่แค่แหวนเพชรเท่านั้นที่อยู่ในรูปของกะรัต แต่แหวนทองก็มีขนาดกะรัตเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดก็จะมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป และราคาก็จะเพิ่มขึ้นตามขนาดกะรัตเช่นกัน โดยแหวนทองแท้ ไม่ประดับเพชรหรือทองคำ 96.5% จะมีขนาดกะรัต 23K แต่สำหรับใครที่ต้องการแหวนทองฝังเพชร ควรเลือกแหวนทองคำ 75% หรือทอง 18K จะมีความแข็งแรงทนทานมากกว่า
- 24K = ทองคำ 99.99% (นิยมใช้ลงทุนทองคำแท่งทั่วโลก)
- 23K = ทองคำ 96.5% (นิยมใช้ในแหวนทอง แบบไม่ประดับเพชร)
- 18K = ทองคำ 75% (มาตรฐานแหวนเพชร Fine Jewelry ที่ใช้ในแบรนด์ไฮเอนด์)
- 14K = ทองคำ 58.3% (นิยมใช้ในงานแหวนเพชร USA)
- 9K = ทองคำ 37.5% (นิยมใช้ในงานแหวนเพชรราคาย่อมเยา)
แนะนำว่าทอง 18K หรือทองคำ 75% มีคุณภาพสูงและเหมาะสมที่สุด สำหรับการเลือกทำเป็นแหวนทองฝังเพชร แหวนหมั้น แหวนทองแต่งงาน เพราะมีมูลค่าในตัวเองสูง และมีความแข็งแรง ทนทาน มากกว่าทอง 96.5% และยังเหมาะกับการสวมใส่ในชีวิตประจำวันด้วย
น้ำหนักก็เป็นส่วนสำคัญในการพิจารณาเลือกทอง เพราะจะเป็นตัวบอกถึงปริมาณของทองคำที่ใส่ลงไปในทองกะรัตต่าง ๆ ซึ่งน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทำให้ราคาและความแข็งแรงของทองรูปพรรณสูงตามไปด้วย เนื่องจากน้ำหนักทองที่เพิ่มขึ้นจะไปช่วยลดการโค้งงอและการหักได้
แหวนทองจะมีน้ำหนักให้เลือกตั้งแต่ 2 บาท, 1 บาท, 2 สลึง, 1 สลึง, ครึ่งสลึง (ทอง 1 บาท เท่ากับ 4 สลึง) โดยอีกสิ่งที่ต้องรู้คือ ทองรูปพรรณ 1 บาท จะหนัก 15.16 กรัม เพราะร้านทองจะคิดราคาตามน้ำหนักที่ปรากฏบนตาชั่งทั้งตอนรับซื้อและขายออก ดังนั้นจะซื้อแหวนทองก็ต้องเช็กน้ำหนักให้ดี ๆ
- แหวนทอง 2 สลึง หนัก 7.58 กรัม
- แหวนทอง 1 สลึง หนัก 3.79 กรัม
- แหวนทอง ½ สลึง หนัก 1.895 กรัม
4. คุณสมบัติของทองคำ
ต้องมีความแวววาวเสมอ ทองคำจะไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจน เมื่อสัมผัสถูกอากาศสีของทองจะไม่หมองและไม่เกิดสนิม มีความอ่อนตัว เพราะทองคำเป็นโลหะที่มีความอ่อนตัวมากที่สุด เป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี สะท้อนความร้อนได้ดีอีกด้วย
5. สีของแหวนทอง
เมื่อถึงเวลาต้องเลือกซื้อแหวนทอง ถ้ามองหาแหวนทองคำแท้ ๆ ละก็ แหวนทองคำที่มีสีเหลือง (Yellow Gold) คือคำตอบ ซึ่งแหวนทองคำนี้มีข้อดีหลายประการ ได้แก่
แหวนทองคำ
ข้อดี
- มีโอกาสแพ้ของผิว (Hypoallergenic) น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับทองคำทั้ง 3 สี
- เคยได้รับความนิยมมากที่สุดในแหวนเพชรสมัยก่อน จึงเหมาะกับงานแหวนเพชรสไตล์วินเทจ
- เป็นสีทองคำที่ดูธรรมชาติมากที่สุด เพราะมีสีเหลือง
- ดูแลง่ายที่สุดในทองทั้ง 3 สี
- เพิ่ม-ลดไซซ์แหวนได้สะดวกที่สุด เพราะมีเนื้อนิ่มกว่า
- ทำให้เพชรน้ำรอง (น้ำต่ำกว่า 92%) ดูขาวขึ้นได้
- เหมาะกับผู้สวมใส่ที่มีผิวเข้ม เช่น คนเชื้อสายไทย และแขกฝั่งเอเชีย
สำหรับบางคนอาจไม่ชอบใส่แหวนทองสีเหลือง ก็ยังมีแหวนทองสีอื่น ๆ ให้เลือก เช่น แหวนทองคำขาว ซึ่งจะมีความทนทานมากกว่าทองคำ เพราะมีส่วนผสมของโลหะที่แข็งแรงกว่า หรือจะเป็น แหวนโรสโกลด์ พิงค์โกลด์ ก็กำลังเป็นที่นิยมเช่นกัน และยังมีความทนทานสูงสุด เพราะมีส่วนผสมของทองแดง แต่ก็จะไม่เหมาะกับผู้ที่แพ้ทองแดงนั่นเอง
การออกแบบทองรูปพรรณจะเน้นถึงความพิเศษ การสลักลวดลาย และความเรียบร้อย อีกทั้งยังมีการเพิ่มลักษณะของพื้นผิวเข้าไป ทั้งแบบผิวเงา แบบผิวด้าน และแบบผิวซาติน อย่างไรก็ตาม ควรเลือกดีไซน์ของแหวนทองที่เหมาะกับมือของคุณ เช่น
- แหวนทองที่หน้าแคบมาก ๆ ไม่เหมาะกับมือที่กว้างและใหญ่ เพราะจะทำให้เห็นแหวนไม่ค่อยชัด
- ถ้าชอบแหวนที่มีหน้ากว้าง แต่เป็นคนที่มีนิ้วกว้างหรือใหญ่ ก็ควรจะเลือกแหวนที่มีขอบมน
- แหวนทองที่มีลักษณะแบนเรียบ หน้าตัด จะดูสวยกว่าบนนิ้วที่เรียวยาว
- แหวนทองที่มีช่องโปร่ง จะให้ความรู้สึกบางเบา เหมาะบนมือที่กว้าง
- แหวนทองที่มีเพชรหรือพลอยเม็ดใหญ่ ก็เหมาะกับมือที่มีขนาดใหญ่เช่นกัน
- สำหรับคนที่มีมือที่เล็กและผอมบาง จะเหมาะกับแหวนทองที่มีเพชรหรือพลอยประดับเม็ดเล็ก ๆ หลาย ๆ เม็ด
7. ความประณีตและคุณภาพ
ปัจจุบันการผลิตทองรูปพรรณส่วนใหญ่จะผลิตด้วยเครื่องจักร เพราะจะได้ทองรูปพรรณที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน แต่ก็มีแหวนทองงานฝีมือที่ผลิตออกมาให้เราได้เลือกซื้อกันมากมายเช่นกัน เนื่องจากลวดลายจะสวยงามกว่าทองรูปพรรณทั่วไป อย่างไรก็ตาม ไม่ควรมองข้ามเรื่องคุณภาพ โดยจุดแรกที่ควรสังเกตคือ บริเวณจุดเชื่อมต่อ ข้อต่อ และตัวสลัก เพราะทั้ง 3 จุดนี้มักจะแตกหักได้ง่าย ดังนั้น ควรตรวจดูให้แน่ใจ พร้อมตรวจสอบแหล่งที่มาของทองที่นำมาผลิตทองรูปพรรณ ซึ่งอาจมีการประทับตราบนตัวทองรูปพรรณ โดยแหล่งที่มาต่างกัน ราคาก็จะต่างกันไปด้วย
8. โลโก้หรือสัญลักษณ์ร้านทอง
บางร้านทองอาจไม่มีใบรับประกันสินค้าให้ แต่จะดูที่โลโก้บนเนื้อทองแทน โดยตราสัญลักษณ์จะบ่งบอกที่มาของทองชิ้นนั้นว่าผลิตที่ไหน มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ ซึ่งบางร้านทองจะเป็นทั้งผู้ค้ารายใหญ่ที่ผลิตทองขายส่งให้กับร้านทองรายย่อย และเปิดร้านขายปลีกเอง ดังนั้นให้สังเกตตรวจสอบตรายี่ห้อร้านบนเนื้อทองให้ละเอียด ซึ่งต้องเห็นตัวอักษรหรือตรายี่ห้ออย่างชัดเจน โดยแหวนทองจะดูที่ใต้ท้องแหวนข้างใน
ทราบเคล็ดลับวิธีเลือกแหวนทองแต่งงานกันไปแล้ว แต่อีกข้อที่สำคัญในการเลือกแหวนแต่งงานก็คือควรเลือกจากความชอบของตัวเองด้วย ถ้ารู้สึกว่าชอบวงนี้และมีความสุขถ้าจะใส่ติดนิ้วไปตลอดชีวิต แหวนทองวงนั้นแหละใช่ที่สุด !
ขอบคุณข้อมูลจาก finejewelthai.com, abovediamond.com, jewelrynotes.com