1. ไปดูด้วยตาตัวเอง
หลายสถานที่อาจไม่ได้มีความเหมาะสมสำหรับพิธีแต่งงานตลอดทั้งปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่จัดงานแต่งงานแบบเปิด ที่สำคัญคุณอย่าไปยึดติดกับภาพความสวยงามบนโบรชัวร์หากไม่ได้ไปเห็นด้วยตาตัวเอง
2. จำนวนแขกที่มาร่วมงาน
สถานที่จัดแต่งงานควรเลือกสถานที่ที่สามารถรองรับจำนวนแขกได้อย่างสบาย ๆ ที่สำคัญต้องมีพื้นที่เพียงพอเผื่อไว้สำหรับแขกที่อาจจะเพิ่มขึ้นมาภายหลังได้ ทางที่ดีที่สุดคุณจะต้องประมาณจำนวนแขกให้ได้คร่าว ๆ ก่อน เพื่อที่ว่าจะได้ไม่เกิดข้อผิดพลาดภายหลัง
3. ทดลองเดินทาง
ส่วนใหญ่เรามักจะแวะไปดูสถานที่จัดงานแต่งงานในช่วงวันหยุด แต่นั่นอาจชะล่าใจเกินไป เพราะการไปดูสถานที่จัดงานในวันหยุด ทำให้คุณอาจไม่ได้คำนวณช่วงเวลาบนท้องถนนในวันปกติ (ถึงแม้ว่างานแต่งส่วนใหญ่จะจัดวันเสาร์-อาทิตย์ก็ตาม) ซึ่งใช้เวลามากกว่า เหล่านี้เพื่อเป็นการเผื่อเวลาให้กับแขกที่เดินทางมาร่วมงานในวันนั้นเป็นจำนวนมาก
4. สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ
คุณควรสอบถามว่าสถานที่จัดงานแต่งนั้น ๆ มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้คุณมากแค่ไหน เช่น เครื่องเล่นดีวีดี, พนักงานเสิร์ฟ หรือแสง สี เสียง เป็นต้น เพื่อที่ว่าคุณจะได้บริหารพื้นที่เหล่านั้นได้อย่างลงตัว
5. อ่านข้อสัญญาให้ชัดเจน
ก่อนที่คุณตัดสินใจเลือกสถานที่จัดงานแต่ง คุณควรที่จะอ่านข้อสัญญาให้ละเอียดถี่ถ้วน เพื่อที่ว่าเงินที่คุณจ่ายไปรวมทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ตกลงกันเอาไว้แล้ว คุณจะได้ไม่ช็อกกับค่าใช้จ่ายที่อาจบานปลายภายหลังจากพิธีแต่งงานเสร็จสิ้นลง
6. ความคุ้มของสถานที่
เป็นไปได้เราอาจหาสถานที่จัดงานแต่งงานที่สามารถอำนวยความสะดวกให้กับคุณ เป็นต้นว่าคุณสามารถจัดพิธีในตอนเช้าและเย็นได้ภายในสถานที่เดียวกัน เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับคุณไปด้วยในตัว
การเลือกสถานที่จัดงานแต่งสักที่หนึ่งไม่สำคัญมากไปกว่าความต้องการของตัวคุณเป็นสำคัญ ลองเขียนสิ่งที่คุณต้องการไล่เรียงออกมาเป็นข้อ ๆ ว่าคุณต้องการให้สถานที่จัดงานแต่งงานของคุณมีอะไรบ้าง เพื่อที่ว่าคุณจะได้ไม่พลาดการเป็นเจ้าบ่าวและเจ้าสาวในสถานที่แต่งงานในฝัน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
wedding.amerikanki.com, lover.ly