แต่งงานต้องเตรียมอะไรบ้าง บ่าวสาวคู่ไหนที่กำลังปวดหัวกับการเตรียมงานแต่ง และยังไม่รู้ว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง มาดูสิ่งสำคัญที่คุณต้องวางแผนและเตรียมให้พร้อมก่อนที่วันสำคัญจะมาถึงกันเลย...
การแต่งงาน วันสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิต ใคร ๆ ก็อยากจะให้งานออกมาดีที่สุด สมบูรณ์แบบที่สุด แต่ทว่างานแต่งงานที่สมบูรณ์นั้น ก็ต้องมาจากการวางแผนเตรียมงานแต่งงานที่ดีด้วย ซึ่งเรื่องนี้แหละที่ทำให้บ่าวสาวหลายคู่ปวดหัวไปตาม ๆ กัน เพราะไม่รู้จะต้องเริ่มจากตรงไหน ต้องทำอะไร หรือ แต่งงานต้องเตรียมอะไรบ้าง ? เอาเป็นว่าเพื่อช่วยให้การเตรียมงานแต่งงานของคุณเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น วันนี้กระปุกดอทคอมมีสิ่งที่ต้องเตรียมก่อนแต่งงานมาให้บ่าวสาวได้เช็กลิสต์กันแล้ว รีบมาดูแล้วเตรียมตัวให้พร้อมเพื่องานแต่งที่ราบรื่นกันเลย...
1. กำหนดวันแต่งงาน
ก่อนจะวางแผนเตรียมงานแต่งงาน ก่อนอื่นจะต้องหาฤกษ์แต่งงานให้ได้เสียก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะได้รู้ว่ามีเวลาในการเตรียมงานนานขนาดไหน ทั้งนี้หากเป็นฤกษ์เร่งด่วนมาก ๆ ก็คงเตรียมได้เท่าที่มีเวลาเหลือ แต่ถ้าสามารถเลือกฤกษ์สะดวกเองได้ ก็ควรจะต้องมีเวลาในการเตรียมงานอย่างน้อย 30 วัน เพื่อให้ทุกอย่างไม่ต้องเร่งรีบเกินไปนั่นเอง
2. กำหนดงบประมาณงานแต่ง
เรื่องนี้ถือว่าสำคัญมาก ๆ เพราะก่อนเตรียมงานคุณจะต้องรู้ก่อนว่างบประมาณของคุณมีเท่าไร เพื่อที่จะได้รู้ว่าคุณควรจะจัดงานเล็ก งานใหญ่ หรือรูปแบบงานประมาณไหน ทั้งนี้หากคุณมีงบมากพอก็สามารถเนรมิตงานแต่งได้ตามใจฝัน แต่ถ้าหากคุณมีงบน้อย แนะนำให้จัดแบบพอเพียงจะดีที่สุดค่ะ
3. กำหนดธีมงานแต่ง
การเลือกธีมงานแต่งก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะคุณจะได้รู้ว่าทิศทางงานแต่งของคุณควรจะจัดหรือเตรียมงานแบบไหน รวมไปถึงแขกที่มางานก็จะได้รู้ด้วยว่าควรจะแต่งตัวมางานแบบไหนดีเพื่อให้เข้ากับงานของคุณ เช่น ธีมวินเทจ เน้นความเรียบง่ายแบบโบราณ, ธีมแบบไทย ๆ เน้นความเป็นไทย, ธีมแกสบี้ เน้นความฟรุ้งฟริ้ง หรูหรา, ธีมธรรมชาติ เน้นดอกไม้ ต้นไม้ หรือธีมอื่น ๆ เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นธีมที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวชอบหรือแสดงความเป็นตัวตนของเจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่นเอง
4. เลือกสถานที่จัดงานแต่งงาน พร้อมจองสถานที่
เรื่องนี้ก็ถือเป็นอีกเรื่องที่คุณควรจะต้องดำเนินการให้เร็วที่สุด หลังจากที่ได้ฤกษ์แต่งงานและกำหนดงบประมาณมาแล้ว เนื่องจากสถานที่แต่งงานหลาย ๆ ที่ปัจจุบันได้รับความนิยมมาก ซึ่งบางที่อาจต้องจองนานถึงข้ามปีกันเลยทีเดียว ดังนั้นหากได้ฤกษ์มาแล้วไม่ควรรอช้า ควรเลือกและติดต่อจองสถานที่จัดงานทันที ทั้งนี้หากสถานที่ที่คุณเลือกไว้ก่อนหน้าไม่สามารถจองได้ก็จะได้มีเวลาหาที่ใหม่ได้ทันกาล
5. กำหนดรูปแบบพิธีการ
เมื่อจองสถานที่ได้แล้วก็มาถึงขั้นตอนการกำหนดรูปแบบพิธีสำหรับงานแต่ง ว่าคุณจะจัดพิธีการแบบใด เช่น จัดพิธีการแบบไทย, จัดพิธีการแบบจีน, เข้าโบสถ์แบบคริสต์ หรือจะจัดเลี้ยงแบบอิสลาม ทั้งนี้เมื่อกำหนดได้แล้วจะได้เตรียมงานต่อไป พร้อมกับอย่าลืมติดต่อผู้ที่จะมาทำพิธีในงานแต่งของคุณให้เรียบร้อยด้วย
6. เลือกรูปแบบงานเลี้ยง
เมื่อกำหนดรูปแบบต่าง ๆ ได้แล้วก็มาถึงขั้นตอนการเลือกรูปแบบงานเลี้ยง ซึ่งเชื่อว่าข้อนี้คุณน่าจะได้ข้อสรุปตั้งแต่การจองสถานที่ไปแล้ว เพราะบางสถานที่จัดงานแต่งก็จะมีแพ็กเกจจัดงานเลี้ยงให้ด้วย หรือถ้าไม่ได้จองแพ็กเกจเอาไว้ ก็ควรจะตัดสินใจและติดต่อผู้ที่รับจัดงานเลี้ยงให้เรียบร้อย พร้อมเลือกว่าควรจะจัดรูปแบบงานเลี้ยงแบบไหนดี ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงจำนวนแขกที่จะเชิญมาร่วมงานด้วย อย่างเช่น จัดงานเลี้ยงแบบโต๊ะจีน ค็อกเทล บุพเฟ่ต์ หรืออื่น ๆ เป็นต้น ซึ่งขั้นตอนนี้คุณควรที่จะกำหนดขั้นตอนงานแต่งของคุณเอาไว้ด้วยว่าจะเปิดตัวบ่าวสาวตอนไหน ให้ผู้ใหญ่กล่าวอวยพรตอนไหน รูปแบบงานเป็นอย่างไร และใครจะเป็นพิธีกร พร้อมกับควรติดต่อผู้ที่เกี่ยวข้องไว้ให้เรียบร้อย
7. เตรียมรายชื่อแขกและแจกการ์ดเชิญ
หลังจากที่เตรียมงานข้างต้นแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการลิสต์รายชื่อเชิญแขกที่จะให้มาร่วมงาน โดยให้สรุปรายชื่อแขกจากทั้งฝ่ายเจ้าบ่าวและฝ่ายเจ้าสาว เมื่อรวบรวมรายชื่อแขกได้แล้ว ให้ดำเนินการเตรียมพิมพ์การ์ดเชิญ พร้อมเดินสายแจกการ์ดเชิญให้เรียบร้อย โดยให้เริ่มจากเชิญผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือก่อน จากนั้นค่อยตามด้วยเพื่อนฝูงตามลำดับ
8. เตรียมชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาว และแหวนแต่งงาน
สำหรับชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวปัจจุบันมีร้านเวดดิ้งให้เลือกใช้บริการมากมาย หากไม่อยากตัดชุดใหม่เสียเงินแพง ๆ ก็สามารถไปหาเช่าชุดตามร้านเวดดิ้งต่าง ๆ ได้ แต่ทางที่ดีเจ้าบ่าวและเจ้าสาวควรที่จะไปเลือกและลองชุดที่ร้านด้วยตัวเอง ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะได้เลือกแบบชุดที่ถูกใจ รวมไปถึงจะได้แก้ชุดให้พอดีกับตัวเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเองด้วย ส่วนแหวนแต่งงาน ก็อยู่ที่บ่าวสาวว่ามีงบเท่าไร ชอบแบบไหน ซึ่งก็สามารถจูงมือกันไปเลือกไปลองที่ร้านได้เลย
9. จัดทำพรีเซ็นเทชั่น และถ่ายรูปพรีเวดดิ้ง
สำหรับการทำพรีเซ็นเทชั่น และถ่ายรูปพรีเวดดิ้ง สามารถเลือกใช้บริการได้ที่ร้านพรีเวดดิ้งเช่นเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันร้านพรีเวดดิ้งส่วนใหญ่จะมีแพ็กเกจให้บ่าวสาวได้เลือกอย่างครบครันอยู่แล้ว โดยจะรวมทั้งการถ่ายรูปพรีเวดดิ้งทั้งในและนอกสถานที่ การทำพรีเซ็นเทชั่น รวมไปถึงยังมีชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวไว้ให้เลือกถ่ายมากมาย และยังมีบริการแต่งหน้า-ทำผมให้พร้อมกันด้วย แต่ทั้งนี้ก่อนที่จะเลือกว่าจะใช้บริการที่ไหน แนะนำให้ดูตัวอย่างผลงานที่ทางร้านเคยถ่ายไปเสียก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะได้มั่นใจว่าจะได้ภาพพรีเวดดิ้งและวิดีโอพรีเซ็นเทชั่นที่ถูกใจนั่นเอง แต่สำหรับใครที่ยังเลือกไม่ถูก กระปุกดอทคอมก็มี ร้านพรีเวดดิ้ง กรุงเทพฯ (คลิก) มาแนะนำให้กันด้วยค่ะ
10. เตรียมของชำร่วยงานแต่ง
สำหรับของชำร่วยงานแต่งก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณของบ่าวสาวแต่ละคู่ ซึ่งปัจจุบันก็มีของชำร่วยน่ารัก ๆ หลากหลายราคา รวมไปถึงของชำร่วยที่มีความหมายดีให้บ่าวสาวได้เลือกมากมาย แต่ถ้ายังไม่รู้ว่าจะไปซื้อของชำร่วยงานแต่งที่ไหนดี ก็ลองมาเลือกสถานที่ที่กระปุกดอทคอมรวบรวมมาแนะนำกันเลยค่ะ (ของชําร่วยงานแต่ง ซื้อที่ไหน ? มาดู... 4 ที่นี่แหละที่คนนิยมไปมากที่สุด)
11. หาช่างแต่งหน้า-ทำผมในวันงานสำหรับบ่าวสาว และช่างภาพในงานแต่งงาน
บ่าวสาวควรหาช่างแต่งหน้า-ทำผมพร้อมกับติดต่อช่างไว้ให้เรียบร้อย แต่ก่อนที่จะติดต่อควรดูผลงานการแต่งหน้าของช่างแต่ละคนเสียก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อดูว่าชอบสไตล์การแต่งหน้าของช่างคนไหนนั่นเอง หรือถ้ายังไม่รู้ว่าจะเลือกช่างแต่งหน้าเจ้าสาวคนไหนดี กระปุกดอทคอมก็มีมาแนะนำให้ตัดสินใจง่ายขึ้นด้วยค่ะ (15 ช่างแต่งหน้าเจ้าสาว ฝีมือดี ที่จะช่วยเนรมิตให้คุณเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุด)
นอกจากนี้ก็อย่าลืมติดต่อช่างภาพสำหรับมาเก็บภาพในวันงานไว้ด้วย ซึ่งแนะนำว่าควรจะจ้างช่างภาพอย่างน้อย 2-3 คน เพื่อที่จะได้เก็บภาพในมุมที่ต่างกันและได้หลายอารมณ์ ทั้งนี้ในส่วนของช่างภาพวิดีโอจะมีหรือไม่มีก็ได้ขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณของบ่าวสาว แต่ก่อนที่จะจ้างหรือติดต่อ ก็อย่าลืมดูผลงานที่ผ่านมาของช่างภาพคนนั้น ๆ ก่อนด้วยนะคะ
12. เตรียมอุปกรณ์ประกอบพิธีการ
ขั้นตอนต่อไปสิ่งที่จะต้องเตรียมก็คืออุปกรณ์สำหรับใช้ในพิธีการ อย่างเช่น ขบวนขันหมาก พิธีสงฆ์ รวมไปถึงอุปกรณ์ทั้งหลายที่จะต้องใช้ภายในงาน โดยแนะนำให้ปรึกษาผู้ที่รู้ลำดับขั้นตอนว่าควรจะต้องใช้อะไรบ้าง แต่ทั้งนี้ถ้าหากบ่าวสาวคู่ไหนที่ไม่อยากจะยุ่งยากเตรียมการเอง ก็สามารถจ้างผู้ที่ให้บริการเกี่ยวกับอุปกรณ์หรือพิธีการเหล่านี้ได้ เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และไม่ต้องกลัวว่าจะขาดตกบกพร่องนั่นเอง
13. ติดต่อจองห้องพักสำหรับญาติ พี่น้อง เพื่อน ที่มาจากต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ
สำหรับบ่าวสาวคู่ไหนที่มีแขกเดินทางมาจากต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ หรือในกรณีที่ไปจัดงานที่ต่างจังหวัด เช่น ริมทะเล หรือสถานที่ที่ค่อนข้างห่างไกล ควรจะต้องเตรียมงบประมาณสำหรับติดต่อจองห้องพักเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับแขกที่จะมาร่วมงานเอาไว้ด้วย แต่ถ้าหากบ่าวสาวคู่ไหนที่ไม่มีงบประมาณเกี่ยวกับส่วนนี้ ก็ควรบอกกล่าวกับแขกที่มาร่วมงานให้ช่วยจองห้องพักเองเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ ทั้งนี้ก็เพื่อที่แขกมาแล้วจะได้มีที่พัก ไม่ต้องมาวุ่นวายหาทีหลังนั่นเอง
14. สรุปงานร่วมกับเจ้าของสถานที่จัดงาน
ก่อนที่จะถึงวันงาน รวมถึงก่อนวันงานจริง 1 วัน บ่าวสาวควรที่จะสรุปงานเป็นระยะ ๆ กับเจ้าของสถานที่ที่คุณจะเข้าไปใช้งานว่ามีการเตรียมงานไปถึงไหนแล้ว รูปแบบที่จัดจะออกมาเป็นอย่างไร มีอะไรขาดตกบกพร่องหรือไม่ ทั้งนี้ก็เพื่อถึงวันงานแต่งจริงจะได้สมบูรณ์แบบที่สุดและไม่ต้องมาคอยกังวลแก้ปัญหาหน้างานนั่นเอง
และนี่ก็คือขั้นตอนการเตรียมงานแต่งงานที่บ่าวสาวควรเช็กลิสต์ และเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่จะถึงวันแต่งงาน ทั้งนี้สำหรับคู่รักคู่ไหนที่กำลังมีแพลนจะแต่งงานในเร็ว ๆ นี้ก็อย่าลืมเอาไปปรับใช้กันด้วยนะคะ รับรองว่างานแต่งของคุณจะต้องออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดอย่างแน่นอน
1. กำหนดวันแต่งงาน
ก่อนจะวางแผนเตรียมงานแต่งงาน ก่อนอื่นจะต้องหาฤกษ์แต่งงานให้ได้เสียก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะได้รู้ว่ามีเวลาในการเตรียมงานนานขนาดไหน ทั้งนี้หากเป็นฤกษ์เร่งด่วนมาก ๆ ก็คงเตรียมได้เท่าที่มีเวลาเหลือ แต่ถ้าสามารถเลือกฤกษ์สะดวกเองได้ ก็ควรจะต้องมีเวลาในการเตรียมงานอย่างน้อย 30 วัน เพื่อให้ทุกอย่างไม่ต้องเร่งรีบเกินไปนั่นเอง
2. กำหนดงบประมาณงานแต่ง
เรื่องนี้ถือว่าสำคัญมาก ๆ เพราะก่อนเตรียมงานคุณจะต้องรู้ก่อนว่างบประมาณของคุณมีเท่าไร เพื่อที่จะได้รู้ว่าคุณควรจะจัดงานเล็ก งานใหญ่ หรือรูปแบบงานประมาณไหน ทั้งนี้หากคุณมีงบมากพอก็สามารถเนรมิตงานแต่งได้ตามใจฝัน แต่ถ้าหากคุณมีงบน้อย แนะนำให้จัดแบบพอเพียงจะดีที่สุดค่ะ
3. กำหนดธีมงานแต่ง
การเลือกธีมงานแต่งก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะคุณจะได้รู้ว่าทิศทางงานแต่งของคุณควรจะจัดหรือเตรียมงานแบบไหน รวมไปถึงแขกที่มางานก็จะได้รู้ด้วยว่าควรจะแต่งตัวมางานแบบไหนดีเพื่อให้เข้ากับงานของคุณ เช่น ธีมวินเทจ เน้นความเรียบง่ายแบบโบราณ, ธีมแบบไทย ๆ เน้นความเป็นไทย, ธีมแกสบี้ เน้นความฟรุ้งฟริ้ง หรูหรา, ธีมธรรมชาติ เน้นดอกไม้ ต้นไม้ หรือธีมอื่น ๆ เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นธีมที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวชอบหรือแสดงความเป็นตัวตนของเจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่นเอง
เรื่องนี้ก็ถือเป็นอีกเรื่องที่คุณควรจะต้องดำเนินการให้เร็วที่สุด หลังจากที่ได้ฤกษ์แต่งงานและกำหนดงบประมาณมาแล้ว เนื่องจากสถานที่แต่งงานหลาย ๆ ที่ปัจจุบันได้รับความนิยมมาก ซึ่งบางที่อาจต้องจองนานถึงข้ามปีกันเลยทีเดียว ดังนั้นหากได้ฤกษ์มาแล้วไม่ควรรอช้า ควรเลือกและติดต่อจองสถานที่จัดงานทันที ทั้งนี้หากสถานที่ที่คุณเลือกไว้ก่อนหน้าไม่สามารถจองได้ก็จะได้มีเวลาหาที่ใหม่ได้ทันกาล
5. กำหนดรูปแบบพิธีการ
เมื่อจองสถานที่ได้แล้วก็มาถึงขั้นตอนการกำหนดรูปแบบพิธีสำหรับงานแต่ง ว่าคุณจะจัดพิธีการแบบใด เช่น จัดพิธีการแบบไทย, จัดพิธีการแบบจีน, เข้าโบสถ์แบบคริสต์ หรือจะจัดเลี้ยงแบบอิสลาม ทั้งนี้เมื่อกำหนดได้แล้วจะได้เตรียมงานต่อไป พร้อมกับอย่าลืมติดต่อผู้ที่จะมาทำพิธีในงานแต่งของคุณให้เรียบร้อยด้วย
6. เลือกรูปแบบงานเลี้ยง
เมื่อกำหนดรูปแบบต่าง ๆ ได้แล้วก็มาถึงขั้นตอนการเลือกรูปแบบงานเลี้ยง ซึ่งเชื่อว่าข้อนี้คุณน่าจะได้ข้อสรุปตั้งแต่การจองสถานที่ไปแล้ว เพราะบางสถานที่จัดงานแต่งก็จะมีแพ็กเกจจัดงานเลี้ยงให้ด้วย หรือถ้าไม่ได้จองแพ็กเกจเอาไว้ ก็ควรจะตัดสินใจและติดต่อผู้ที่รับจัดงานเลี้ยงให้เรียบร้อย พร้อมเลือกว่าควรจะจัดรูปแบบงานเลี้ยงแบบไหนดี ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงจำนวนแขกที่จะเชิญมาร่วมงานด้วย อย่างเช่น จัดงานเลี้ยงแบบโต๊ะจีน ค็อกเทล บุพเฟ่ต์ หรืออื่น ๆ เป็นต้น ซึ่งขั้นตอนนี้คุณควรที่จะกำหนดขั้นตอนงานแต่งของคุณเอาไว้ด้วยว่าจะเปิดตัวบ่าวสาวตอนไหน ให้ผู้ใหญ่กล่าวอวยพรตอนไหน รูปแบบงานเป็นอย่างไร และใครจะเป็นพิธีกร พร้อมกับควรติดต่อผู้ที่เกี่ยวข้องไว้ให้เรียบร้อย
7. เตรียมรายชื่อแขกและแจกการ์ดเชิญ
หลังจากที่เตรียมงานข้างต้นแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการลิสต์รายชื่อเชิญแขกที่จะให้มาร่วมงาน โดยให้สรุปรายชื่อแขกจากทั้งฝ่ายเจ้าบ่าวและฝ่ายเจ้าสาว เมื่อรวบรวมรายชื่อแขกได้แล้ว ให้ดำเนินการเตรียมพิมพ์การ์ดเชิญ พร้อมเดินสายแจกการ์ดเชิญให้เรียบร้อย โดยให้เริ่มจากเชิญผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือก่อน จากนั้นค่อยตามด้วยเพื่อนฝูงตามลำดับ
สำหรับชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวปัจจุบันมีร้านเวดดิ้งให้เลือกใช้บริการมากมาย หากไม่อยากตัดชุดใหม่เสียเงินแพง ๆ ก็สามารถไปหาเช่าชุดตามร้านเวดดิ้งต่าง ๆ ได้ แต่ทางที่ดีเจ้าบ่าวและเจ้าสาวควรที่จะไปเลือกและลองชุดที่ร้านด้วยตัวเอง ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะได้เลือกแบบชุดที่ถูกใจ รวมไปถึงจะได้แก้ชุดให้พอดีกับตัวเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเองด้วย ส่วนแหวนแต่งงาน ก็อยู่ที่บ่าวสาวว่ามีงบเท่าไร ชอบแบบไหน ซึ่งก็สามารถจูงมือกันไปเลือกไปลองที่ร้านได้เลย
9. จัดทำพรีเซ็นเทชั่น และถ่ายรูปพรีเวดดิ้ง
สำหรับการทำพรีเซ็นเทชั่น และถ่ายรูปพรีเวดดิ้ง สามารถเลือกใช้บริการได้ที่ร้านพรีเวดดิ้งเช่นเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันร้านพรีเวดดิ้งส่วนใหญ่จะมีแพ็กเกจให้บ่าวสาวได้เลือกอย่างครบครันอยู่แล้ว โดยจะรวมทั้งการถ่ายรูปพรีเวดดิ้งทั้งในและนอกสถานที่ การทำพรีเซ็นเทชั่น รวมไปถึงยังมีชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวไว้ให้เลือกถ่ายมากมาย และยังมีบริการแต่งหน้า-ทำผมให้พร้อมกันด้วย แต่ทั้งนี้ก่อนที่จะเลือกว่าจะใช้บริการที่ไหน แนะนำให้ดูตัวอย่างผลงานที่ทางร้านเคยถ่ายไปเสียก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะได้มั่นใจว่าจะได้ภาพพรีเวดดิ้งและวิดีโอพรีเซ็นเทชั่นที่ถูกใจนั่นเอง แต่สำหรับใครที่ยังเลือกไม่ถูก กระปุกดอทคอมก็มี ร้านพรีเวดดิ้ง กรุงเทพฯ (คลิก) มาแนะนำให้กันด้วยค่ะ
สำหรับของชำร่วยงานแต่งก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณของบ่าวสาวแต่ละคู่ ซึ่งปัจจุบันก็มีของชำร่วยน่ารัก ๆ หลากหลายราคา รวมไปถึงของชำร่วยที่มีความหมายดีให้บ่าวสาวได้เลือกมากมาย แต่ถ้ายังไม่รู้ว่าจะไปซื้อของชำร่วยงานแต่งที่ไหนดี ก็ลองมาเลือกสถานที่ที่กระปุกดอทคอมรวบรวมมาแนะนำกันเลยค่ะ (ของชําร่วยงานแต่ง ซื้อที่ไหน ? มาดู... 4 ที่นี่แหละที่คนนิยมไปมากที่สุด)
11. หาช่างแต่งหน้า-ทำผมในวันงานสำหรับบ่าวสาว และช่างภาพในงานแต่งงาน
บ่าวสาวควรหาช่างแต่งหน้า-ทำผมพร้อมกับติดต่อช่างไว้ให้เรียบร้อย แต่ก่อนที่จะติดต่อควรดูผลงานการแต่งหน้าของช่างแต่ละคนเสียก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อดูว่าชอบสไตล์การแต่งหน้าของช่างคนไหนนั่นเอง หรือถ้ายังไม่รู้ว่าจะเลือกช่างแต่งหน้าเจ้าสาวคนไหนดี กระปุกดอทคอมก็มีมาแนะนำให้ตัดสินใจง่ายขึ้นด้วยค่ะ (15 ช่างแต่งหน้าเจ้าสาว ฝีมือดี ที่จะช่วยเนรมิตให้คุณเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุด)
นอกจากนี้ก็อย่าลืมติดต่อช่างภาพสำหรับมาเก็บภาพในวันงานไว้ด้วย ซึ่งแนะนำว่าควรจะจ้างช่างภาพอย่างน้อย 2-3 คน เพื่อที่จะได้เก็บภาพในมุมที่ต่างกันและได้หลายอารมณ์ ทั้งนี้ในส่วนของช่างภาพวิดีโอจะมีหรือไม่มีก็ได้ขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณของบ่าวสาว แต่ก่อนที่จะจ้างหรือติดต่อ ก็อย่าลืมดูผลงานที่ผ่านมาของช่างภาพคนนั้น ๆ ก่อนด้วยนะคะ
ขั้นตอนต่อไปสิ่งที่จะต้องเตรียมก็คืออุปกรณ์สำหรับใช้ในพิธีการ อย่างเช่น ขบวนขันหมาก พิธีสงฆ์ รวมไปถึงอุปกรณ์ทั้งหลายที่จะต้องใช้ภายในงาน โดยแนะนำให้ปรึกษาผู้ที่รู้ลำดับขั้นตอนว่าควรจะต้องใช้อะไรบ้าง แต่ทั้งนี้ถ้าหากบ่าวสาวคู่ไหนที่ไม่อยากจะยุ่งยากเตรียมการเอง ก็สามารถจ้างผู้ที่ให้บริการเกี่ยวกับอุปกรณ์หรือพิธีการเหล่านี้ได้ เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และไม่ต้องกลัวว่าจะขาดตกบกพร่องนั่นเอง
13. ติดต่อจองห้องพักสำหรับญาติ พี่น้อง เพื่อน ที่มาจากต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ
สำหรับบ่าวสาวคู่ไหนที่มีแขกเดินทางมาจากต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ หรือในกรณีที่ไปจัดงานที่ต่างจังหวัด เช่น ริมทะเล หรือสถานที่ที่ค่อนข้างห่างไกล ควรจะต้องเตรียมงบประมาณสำหรับติดต่อจองห้องพักเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับแขกที่จะมาร่วมงานเอาไว้ด้วย แต่ถ้าหากบ่าวสาวคู่ไหนที่ไม่มีงบประมาณเกี่ยวกับส่วนนี้ ก็ควรบอกกล่าวกับแขกที่มาร่วมงานให้ช่วยจองห้องพักเองเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ ทั้งนี้ก็เพื่อที่แขกมาแล้วจะได้มีที่พัก ไม่ต้องมาวุ่นวายหาทีหลังนั่นเอง
ก่อนที่จะถึงวันงาน รวมถึงก่อนวันงานจริง 1 วัน บ่าวสาวควรที่จะสรุปงานเป็นระยะ ๆ กับเจ้าของสถานที่ที่คุณจะเข้าไปใช้งานว่ามีการเตรียมงานไปถึงไหนแล้ว รูปแบบที่จัดจะออกมาเป็นอย่างไร มีอะไรขาดตกบกพร่องหรือไม่ ทั้งนี้ก็เพื่อถึงวันงานแต่งจริงจะได้สมบูรณ์แบบที่สุดและไม่ต้องมาคอยกังวลแก้ปัญหาหน้างานนั่นเอง
และนี่ก็คือขั้นตอนการเตรียมงานแต่งงานที่บ่าวสาวควรเช็กลิสต์ และเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่จะถึงวันแต่งงาน ทั้งนี้สำหรับคู่รักคู่ไหนที่กำลังมีแพลนจะแต่งงานในเร็ว ๆ นี้ก็อย่าลืมเอาไปปรับใช้กันด้วยนะคะ รับรองว่างานแต่งของคุณจะต้องออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดอย่างแน่นอน