คู่รักที่กำลังวางแผนจะเข้าพิธีหมั้นในเร็ววันนี้คงมีความกังวลไม่น้อย เพราะส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยมีความรู้เรื่องพิธีหมั้นแบบไทย ว่ามีขั้นตอนละเอียดขนาดไหน ขั้นตอนไหนสำคัญ และขั้นตอนไหนสามารถลดทอนหรือตัดออกไปได้บ้าง อีกทั้งยังต้องตระเตรียมองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น สถานที่จัดงาน ชุดหมั้น การ์ดเชิญ หรือของชำร่วย ฯลฯ โอ๊ย ! มีเรื่องให้ต้องทำจิปาถะไปหมด แถมหากงานหมั้นครั้งนี้เป็นการหมั้นที่ต่างวัฒนธรรม ต่างประเพณีด้วยแล้ว ยิ่งจะให้มีเรื่องต้องคิด ต้องจัดการมากมาย ดังนั้น วันนี้เราจึงนำเอาข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับงานหมั้นของคู่รักต่างเชื้อชาติ (ไทย-เกาหลี) จาก คุณ need_woon สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ในแบบฉบับตามใจฉัน ^_^ มาร่วมแชร์ประสบการณ์ดี ๆ ให้เพื่อน ๆ ได้รู้กันค่ะ ส่วนจะมีขั้นตอนไหนบ้างนั้น ตามไปดูกันเลย
สวัสดีค่ะ
ก่อนอื่นต้องบอกว่าตกใจมากที่กระทู้ธรรมดา ๆ ที่แค่อยากเขียนบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง กลายเป็นกระทู้สร้างแรงบันดาลใจ (?) ให้ใครหลาย ๆ คน ฮ่า ๆ (มีน้องที่รู้จักกันแอบหลังไมค์มาบอกว่า พี่คะ ถ้าหนูได้แต่งงานกะเอกโซ หนูจะถ่ายพรีแบบพี่ แล้วสัญญาไว้ว่าจะมาเล่าเรื่องของการจัดงานหมั้นที่ไทยเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาด้วย แต่ก็ยังมีบางท่านที่เข้ามาบอกว่า อยากรู้เรื่องกว่าจะได้แต่งงานกับหนุ่มเกาหลีด้วยว่า ผ่านด่านแม่สามีเกาหลีที่ได้รับการยกย่องจากผู้หญิงทั่วโลก ว่าเป็นแม่สามีระดับตำนานมาได้ยังไงบ้าง (ขอบคุณนะคะที่ให้ความสนใจ ^.^) ก็เลยชั่งใจอยู่ว่าจะเขียนเรื่องไหนก่อน แต่อันเนื่องมาจากรูปตั้งแต่ที่รู้จักกับคุณแฟน รูปใบแรกที่ถ่ายด้วยกันมันนานมาแล้ว แล้วก็มีเยอะมาก เรียกได้ว่าคบกันมาปีนี้ปีที่ 4 แต่รูปเนี่ยเยอะอย่างกับคบกันมาสัก 10 ปี ฮ่า ๆ ก็เลยอาจจะต้องขอเวลาจัดการรูปเล็กน้อย แล้วจะมาเล่าให้ฟังนะคะ อีกทั้งงานหมั้นเพิ่งผ่านมาหมาด ๆ (ยังไม่หายเห่อว่างั้น) ก็เลยย่อรูปเอาลงมือถือไว้แล้ว เพราะฉะนั้น นี่แหละ พร้อมเล่าเรื่องและอัพรูป (ในเวลาเดียวกัน) มากที่สุดแล้ว ก็เลยขอเล่าเรื่องงานหมั้นก่อนเลยแล้วกันค่ะ
อย่างที่เคยเกริ่นไว้ที่กระทู้ก่อนหน้าแล้วนะคะ ว่านีดทำงานอยู่ที่เกาหลีมาในช่วงก่อนหน้าที่จะมีงานหมั้นค่ะ ทำให้นีดไม่มีเวลาเตรียมตัวอะไรเท่าไหร่ ทางฝั่งเมืองไทยเนี่ยต้องให้ที่บ้านช่วยกันลงแรงให้ทั้งหมด
เริ่มจากพอได้กำหนดที่แน่นอนแบบฉุกละหุกมาก ๆ อันเนื่องมาจากคุณแฟนเพิ่งจะเข้าทำงานที่บริษัท และยังไม่ได้คำตอบจากบริษัทว่าตกลงแล้วจะให้ประจำที่เมืองไหนกันแน่ เลยทำให้รอคำตอบกันจนนาทีสุดท้าย เพื่อกำหนดวันจัดงาน (เพราะต้องใช้สิทธิ์วันลาแต่งงาน 7 วัน เพื่อมาเมืองไทยจัดงานหมั้น และเคลียร์เรื่องวีซ่าของนีดในคราวเดียวกันค่ะ) ซึ่งพอได้กำหนดการปุ๊บ นีดก็ลิสต์ชื่อโรงแรมทั้งหมดที่สนใจให้คุณแม่เลย คุณแม่ พี่ชาย และคุณพ่อ จึงเป็นธุระในการตระเวนทุกโรงแรมเพื่อสรุป แล้วทุกคนก็สรุปตรงกันที่โรงแรมเดียวกันแบบมิได้นัดหมาย คือ Swissotel Le Concorde รัชดา ค่ะ
ด้วยเหตุผลตรงกัน คือ อาหารอร่อย ห้องสวย โรงแรมหรูตั้งแต่ทางเข้า ล็อบบี้สวย ที่ตั้งเดินทางง่าย ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ คุณเซลล์น่ารักมากกก และราคาอยู่ในงบค่ะ
อันนี้เป็นภาพห้องตอนก่อนเริ่มพิธีค่ะ แค่ตั้งใจจะโชว์ให้เห็นว่าห้องมันสวยจริง ๆ
พอหลังจากที่เราตกลงกันได้แล้วว่าใช้โรงแรมนี้แหละ พร้อมกับวันที่ เวลา สรุปง่าย ๆ ว่างานนี้จัดแน่ !!! นีดก็จัดการสองอย่างที่นีดต้องทำจากที่เกาหลีค่ะ นั่นคือ การ์ดเชิญและของชำร่วยในงาน
อันเนื่องมาจากงานนี้เป็นงานในหมู่ญาติ ๆ และคนสนิทที่รักกันเหมือนญาติ นีดเลยเฟ้นของดีหน่อย
เริ่มจากการ์ด นีดหาการ์ดจากในเน็ตค่ะ ร้านในเน็ตนี่แหละ เพราะไม่อยากได้การ์ดซ้ำกับคนอื่น อิอิ อยากได้อะไรที่แบบ คนถูกเชิญรู้สึกพิเศษตั้งแต่รับการ์ดเชิญ แบบว่า เออ ได้รับเชิญแบบ Exclusive จริง ๆ นะ อะไรอย่างงี้ ก็เลยจัดการแต่งงานมาจากที่เกาหลีเลยค่ะ สั่งซื้อที่นี่เลย ได้การ์ดออกมาหน้าตาแบบนี้ค่ะ
ถามว่าการ์ดนี้ราคาเท่าไหร่ ??? การ์ดนี้นีดซื้อ 60 ใบค่ะ ในราคา 40,000 วอนถ้วน คือ 1,200 บาท ตกใบละ 20 บาทค่ะ ราคาถือว่าโอเคเลย การ์ดเป็นกระดาษเนื้อมุก หนาและแข็งค่ะ แต่เนื่องจากเราต้องพิมพ์ภาษาไทย และตอนนั้นนีดยังไม่ทราบว่าจะได้ห้องจัดงานชื่ออะไรยังไง โลโก้งานก็ยังไม่มี เพราะฉะนั้น เอามาแต่การ์ดเปล่า ๆ ค่ะ
จากนั้นต่อมาสุดท้าย คือ ของชำร่วย โจทย์มีว่านีดต้องการของชำร่วยที่คนรับไม่ต้องบ่นว่าจะเอาไปทำอะไรดี หรือคนรับได้แล้วรู้สึกมีความสุข เต็มใจรับ อยากได้ เพื่อเป็นการตอบแทนและขอบคุณจริง ๆ ที่อุตส่าห์ดั้นด้นมางานของนีด (เพราะญาติ ๆ ครึ่งหนึ่งอยู่ต่างจังหวัดค่ะ และแขกผู้ใหญ่อีกหลาย ๆ ท่านอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของกรุงเทพฯ เรียกว่าเดินทางข้ามกรุงกันเลยทีเดียว)
ซึ่งตอนนั้น นีดยังทำงานอยู่ที่บริษัททัวร์ที่เกาหลีค่ะ (มิใช่ไกด์แต่อย่างใด อิอิ) ฉับพลันทันทีที่กำลังนั่งเครียดเรื่องของชำร่วย ก็ได้บังเอิญให้นีดได้พบว่า พี่ไกด์ที่เข้ามาที่ออฟฟิศกำลังคุยกันเรื่องว่า ลูกทัวร์ไทยชอบซื้อตะเกียบเหล็ก (แบน ๆ) เกาหลีกลับประเทศมากเพียงใด นีดก็ปิ๊งไอเดียทันทีว่าตะเกียบเหล็กเกาหลีเป็นของ Most Wanted ที่เรียกได้ว่า มาเกาหลีแล้ว Must Buy กันเลยทีเดียว อีกทั้งคำว่าตะเกียบนั้นมีความหมายที่ดีค่ะ เพราะเป็นคู่ที่ตรงเสมอ ไม่มีวันคดงอ และถ้าหากว่าตะเกียบเหลือเพียงข้างเดียวก็จะใช้งานไม่ได้อีก เพอร์เฟคท์ขนาดนี้ จัดเลยค่ะ.. และความลับก็จะถูกเปิดเผย ณ ที่นี้~~
ตะเกียบนั้นนีดซื้อทั้งหมดจากร้านไดโสะที่เกาหลีค่ะ หนึ่งห่อมีทั้งหมด 3 คู่ ในราคา 2 พันวอนค่ะ คู่ละ 20 บาทเป๊ะ ๆ นีดซื้อตะเกียบกลับมาทั้งหมด 99 คู่ค่ะ
ดูแบบนี้ ตะเกียบมันช่างไร้ราคา และสกุลรุนชาติมากใช่มั้ยคะ แต่เดี๋ยวเราจะเนรมิตให้ตะเกียบบ้าน ๆ กลายเป็นตะเกียบไฮโซค่ะ เรียกว่าเนรมิตหลักสูตรเดียวกับซินเดอเรลล่าเลยค่ะ
แต่เอาล่ะ เมื่อเราได้สองสิ่งที่เราต้องการแล้ว เราก็จัดแจงบินกลับไทย (พร้อมการ์ด ตะเกียบ และเอกสารสำหรับทำวีซ่าค่ะ) นีดกลับมาถึงไทยวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2557 แล้วก็จัดการนัดเข้าไปที่โรงแรมเพื่อดูห้องเลยค่ะ
เข้าไปคุยปุ๊บก็ขึ้นไปดูห้องเลยค่ะ ห้องที่นีดได้เป็นห้องกฤษณาค่ะ และเปิดต่อกับอีกห้องข้าง ๆ ที่ติดกันยาวเป็นห้องเดียวกันเลยค่ะ (แต่จำชื่อห้องข้าง ๆ ไม่ได้) ซึ่งพอได้เห็นห้องปุ๊บก็แบบ หลงรักเลยค่ะ เพราะห้องสวยจริง ๆ
อันนี้ คือ ทางเข้าห้องกฤษณาค่ะ
อันนี้ คือ พื้นที่ด้านหน้าห้องจัดงาน ซึ่งเดี๋ยวเราจะต้องมาตกแต่งตรงนี้ให้สวยกันค่ะ
ส่วนอันนี้เป็นทางเดินทางด้านหน้าห้องและรอบ ๆ บริเวณค่ะ
เรียกว่าใช่เลยที่ต้องการค่ะ จากนั้นเราก็ตกลงกันว่าจะใช้มื้ออาหารเป็นแบบค็อกเทล ทั้งหมด 70 หัวค่ะ พร้อมกับสั่งทำซุ้มดอกไม้สำหรับถ่ายรูปหน้างานเป็นซุ้มดอกไม้สด 1 ซุ้ม เพิ่มเติมค่ะ ธีมงานเป็นสีทองค่ะ
แต่เนื่องจากวันก่อนงานหนึ่งวัน พ่อแม่เจ้าบ่าว เจ้าบ่าว และเพื่อนหนุ่มอีกสองคนจะมาบินมาถึงค่ะ อีกทั้งเราจัดงานกันเองทั้งหมด เราก็ต้องไปคุมงานการแต่งสถานที่ ดูแลทุกอย่าง ซ้อมพรีเซ็นฯ เองทั้งหมด เราเลยขอห้องพักไปด้วยค่ะ ได้มาเป็นฟรีห้องสูท 1 ห้อง และเราเปิดห้องเพิ่มอีกสองห้องค่ะ เป็นว่าห้องสูทนั้น ครอบครัวเรา 6 คน บวกกับน้องนักเรียนคุณแม่อีกสองคนที่มาช่วยงาน เป็น 8 คน นอนกันในห้องสูท เพราะว่าเป็นห้องที่ใหญ่มากกก ในห้องนอนเล็ก เตียงใหญ่มากกก คุณแม่กับน้องนักเรียน 3 คน นอนด้วยกัน ข้างนอกนีดนอนโซฟา 1 คุณพ่อนอนโซฟาตัวที่ 2 พี่ชายกับแฟนปูผ้านอนที่พื้น แต่เรียกว่าสบาย ๆ กันค่ะ (แน่ล่ะสิ แกไม่ได้นอนพื้นนิ !!! พี่ชายนีดต้องพูดแบบนี้ถ้ามาอ่านเจอ อิอิ) พ่อแม่แฟนนอนห้องหนึ่ง แฟนกับเพื่อนชายอีก 2 คน นอนด้วยกันห้องหนึ่งค่ะ
ฟังดูทุกอย่างจะเรียบร้อยแล้ว แต่ยังค่ะ !!! ทั้งหมดนี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น T__T
เพราะนอกจากนี้เรายังไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ว่าจะรวบรวมรายชื่อแขก พิมพ์การ์ด เช่าชุด ตกแต่งของชำร่วย กล่องใส่ซอง แจกการ์ด โลโก้งาน ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ว่าแต่ละอย่างเนี่ย สาหัส ๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ
เราเริ่มต้นจากสิ่งที่ใช้เวลาน้อยที่สุดในการทำ แต่ใช้เวลานานที่สุดในการรอค่ะ นั่นคือ เช่าชุด เพราะว่าเราต้องไปลอง แล้วก็รอเค้าแก้ ไปลองใหม่ แก้ใหม่ แล้วไปรับ เบ็ดเสร็จ 2 เกือบ 3 สัปดาห์ค่ะ นี่คือ ชุดบ่าวสาววันงานค่ะ
ให้บังเอิญ บังเอิญค่ะ ว่าพี่ชายนีดกับเจ้าบ่าวเนี่ยไซส์ต่างกัน 1-2 เซนติเมตร เท่านั้นเอง ภารกิจลองชุดจึงตกกับพี่ชายสุดหล่อของนีด อิอิ นีดเลือกเช่าชุดนี้จากร้านที่บางลำพูค่ะ สนนราคาชุดบ่าวสาว 6,000 บาทค่ะ (เจ้าบ่าว 2,500 บาท เจ้าสาว 3,500 บาทค่ะ) พร้อมเครื่องประดับทั้งหมด (ยกเว้นหงส์บนบ่านะคะ อันนี้คุณแม่หามาให้จากสำเพ็งค่ะ)
เมื่อได้ชุดแล้ว เราก็กลับบ้านมาลิสต์รายชื่อแขกเลยค่ะ
โดยที่นีดใช้ Excel เขียนขึ้นมาเองเลยค่ะ ลิสต์ไว้ล่วงหน้าเลยค่ะว่าแขกมีใครบ้าง แขกคนนั้นจะมีครอบครัวมาด้วยมั้ย สรุปว่าต้องใช้อาหารกี่หัวจริง ๆ ไฟล์อันนี้นีดลิสต์ไว้ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วค่ะว่ามีอะไรยังไงบ้าง เพื่อให้รู้ว่าเราต้องใช้ของชำร่วยกี่ชิ้น การ์ดกี่ใบ อาหารกี่หัว
แต่ตอนนี้เป็นการเอาไฟล์เก่ากลับมาเพื่อสรุปในช่องชื่อนามสกุลค่ะ เพื่อสรุปว่าเราจะเขียนหน้าซองให้แขกว่าอะไร แต่อย่างที่เห็นตามรายชื่ออ่ะค่ะว่าเป็นญาติ ๆ กันทั้งนั้น เลยจัดชื่อเล่น และชื่อตามที่เรียกขานกัน เพื่อให้รู้สึกว่าไม่ได้เชิญมางานแต่งงานนะ แต่เชิญมาแสดงความยินดีกับหลาน กับน้องที่กำลังจะมีความสุขหน่อยค่ะ แบบนี้ต่างหาก
แต่ว่าถ้าเราจะพิมพ์การ์ด เราก็ควรจะต้องมีโลโก้ในการ์ดด้วยสิ
คุณพี่ชายสุดหล่อของนีดเลยค่ะ ด้วยความที่นางเป็น e-marketing (แต่จบวิศวะคอมพิวเตอร์ เอ๊ะยังไง) มือหนึ่งระดับพระกาฬ (?) นางก็เลยจัดการเรื่องออกแบบโลโก้งานให้ซะเลยค่ะ (ใครถูกใจสไตล์การออกแบบนาง เรียกใช้บริการได้นะคะ อิอิ)
ซึ่งสุดท้ายแล้ว นางออกแบบมาให้ 4 แบบ และให้ทุกคนช่วยกันเลือก แต่บ้านเรามีกัน 4 คน มีปัญหาแน่ ๆ เลยให้แฟนนาง (คุณว่าที่พี่สะใภ้) มาเป็นเสียงที่ 5 แบบนี้ชี้ขาดได้แน่ ๆ
N.J นั้น ไม่ใช่ นิวจิ๋ว แต่อย่างใดค่ะ นั่นคือ นีด และ จินกู ค่ะ จาก 4 แบบนี้ ลองดูกันสิคะว่าถ้าทุกคนต้องเลือก จะเลือกแบบไหนกัน แต่สุดท้ายแล้วงานนีดเราใช้แบบที่ 1 ค่ะ
แล้วเราก็ทำการพิมพ์การ์ดด๊อกแด๊ก ๆ ด้วยตัวเอง และพริ้นท์เองทั้งหมดค่ะ ด้วยเครื่องเลเซอร์พรินเตอร์ที่บ้านนี่แหละ ไม่ต้องลงตัวอักษรสลักทองแต่อย่างใด สีชมพูหวานฉ่ำ สวยสดใส ความรักบานฉ่ำเต็มการ์ด ประหยัด แต่ก็สวยนะคะ ไม่ขี้เหร่เลย
ขออนุญาตเซ็นเซอร์ชื่อไว้หน่อยละกันค่ะ พอดีคุณแม่เป็นผู้มีชื่อเสียง 555 เกรงว่าใครหลายคนเข้ามาเจอถึงตรงนี้จะร้องว่า "เฮ้ย อาจารย์...นี่หว่า" (หลังจากกระทู้แรก มีคนมาร้องที่หลังไมค์ และในทวิตเตอร์ไปแล้วหลายคน แหะ ๆ)
ในที่สุดเราก็ได้การ์ดออกมาทั้งสิ้น 60 แผ่น นับเป็นการทำงานที่เนี้ยบมากค่ะ เพราะไม่มีของเสียเลยแม้แต่แผ่นเดียว ทั้งที่เป็นการทำครั้งแรกในชีวิต (แต่อย่าถามถึงจำนวนกระดาษ A4 ที่เอามาตัดแล้วลองพริ้นท์แทนการ์ดนะคะ เพราะเป็นกองเลยค่ะ) แล้วเราก็เลือกการ์ดมา 1 ใบ ที่เนี้ยบเป๊ะสุด สแกน สลับหน้าหลังปก แล้วส่งให้เพื่อน ๆ ทางเน็ตค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊กหรือไลน์
ตอนนี้กินข้าวไป อัพไป ช้าหน่อยนะคะ อิอิ (เมนูวันนี้ ซุปเต้าเจี้ยว กิมจิ และปลาฝอย (?) เค้าเรียกงี้รึเปล่าไม่ทราบเหมือนกันค่ะ อิอิ)
อ่ะ จากนี้เราก็เคลียร์ไปหลายอย่างแล้วค่ะ เพราะฉะนั้น เราจะมีเคลียร์อย่างถัดไป คือ เราจะมาแปลงร่างตะเกียบราคาถูกให้เป็นตะเกียบไฮโซกัน
กลัวจะลืม เรามาย้ำหน้าตาตะเกียบกันอีกที
มันธรรมดาไปค่ะ นีดก็เลยจัดการแปลงร่างให้กลายเป็นแบบนี้แทน
ดูใกล้ ๆ อีกที
นีดไปซื้อ (เรียกเหมาดีกว่าเนอะ) กล่องกำมะหยี่สีแดงไซส์ยาว (ซึ่งไซส์นี้หายากมาก) ในราคากล่องละ 25 บาทค่ะ (หรือ 20 บาท หรือ 15 บาท จำไม่ได้ละ สักอย่างนี่แหละค่ะ) เอามาจับน้องตะเกียบใส่ลงไป แล้วแขวนป้ายเชือกให้รู้ว่าน้องตะเกียบนี้ท่านได้แต่ใดมา
ในเวลาเดียวกัน คุณแม่ (ผู้โด่งดังในวงการติ่ง) ของนีดก็จัดการทำกล่องสำหรับใส่ซองให้ค่ะ เป็นน้องกล่องสีแดง ติดดอกไม้สวยงาม ไม่มีรูปที่เห็นน้องกล่องชัด ๆ เลยมีแค่นี้อ่ะค่ะ ที่เห็นชัดที่สุด
ด้วยความสามารถทางการประดิดประดอยของคุณแม่ ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์สอนวิชาคหกรรม โรงเรียนหญิงล้วนชื่อดังแห่งหนึ่งย่านราชดำเนิน (เต็มยศไปนิด โทษทีค่ะ) คุณแม่ก็จับเอาดอกไม้ก้านลวดสองก้านมาวางแต่งปากกล่อง โดยความลับ คือ กล่องใบนี้แท้จริงแล้วคือลังใส่กระดาษ A4 จากร้านถ่ายเอกสารนั่นเอง เอามาประกบกัน เจาะรูข้างบน แล้วห่อด้วยกระดาษสีแดงจากร้านบีทูเอส ติดดอกไม้เข้าไปปุ๊บ เริ่ดค่ะ
เฮ้ออออ เหนื่อยแท้มาถึงตรงนี้ เวลาก็งวดเข้ามาเหลืออีกแค่อาทิตย์เดียวก็จะถึงวันงานแล้ว แต่...อยู่ดี ๆ ก็นึกขึ้นได้ค่ะ แล้วเพลงในงานล่ะ ?? วิดีโอพรีเซ็นเทชั่น ล่ะ ?? แถมเอาพี่ชายกับแฟน ซึ่งเป็นแม่งานหลักมาเป็นพิธีกรซะอีก เฮ้ย แล้วงี้ใครจะดูคิวให้ล่ะ ?? งานเข้าเลยค่ะ T__T วิดีโอพรีเซ็นเทชั่นเนี่ยด้วยความอนุเคราะห์จากคุณพี่ชายสุดหล่อคนเดิม ใช้เวลาสั้นมาก ๆ วันสองวัน ก็ได้พรีเซ็นเทชั่นสวย ๆ ออกมา ตอนเปิดในงาน เรียกว่าแขกทุกท่านได้ยิ้มกันซะ (น่าจะยิ้มเพราะเจ้าสาวสวยนะคะ อิอิ) และทุกคนชมว่าพรีเซ็นเทชั่นน่ารักมาก (สวยแถมฟรี มีที่ไหน ถ้าไม่ใช่บ้านเรา)
ต่อมา คือ เรื่องเพลงในงานค่ะ มีทั้งแขกเกาหลี ฝรั่ง และคนไทยปนกัน งั้นเราก็จัดเพลงปนกันเพื่อทุกเชื้อชาติซะเลยแล้วกัน รวมไปถึงเพลงเปิดตัวค่ะ งานนี้นีดเลือกใช้เพลงเปิดตัว (บ่าวสาว) เป็นเพลง Marry U ของ Super Junior ค่ะ (เหตุผลตามอ่านได้จากกระทู้ที่แล้วค่ะ) เรื่องเพลงเนี่ย อย่านิ่งนอนใจนะคะ เพราะบอกเลยว่า เพลงเพราะ ๆ ส่วนใหญ่เป็นเพลงเก่า ๆ หน่อย ซึ่งเพลงพวกนี้หาดาวน์โหลดยากมาก (อุ๊บส์ !!!) นั่นแหละ เอาเป็นว่าตามแผงก็หาซื้อไม่ได้ค่ะ แต่ด้วยความพยายาม เราก็ได้เพลงที่เราต้องการมาครอบครอง โดยที่เพลงทั้งหมดที่ใช้ นีดจำจำนวนเพลงไม่ได้ แต่จำได้แต่ว่าเปิดได้ไม่ซ้ำกันประมาณ 3 ชั่วโมงค่ะ
เอาล่ะ สุดท้าย ท้ายสุด ใครจะคอยดูคิวให้เราดีล่ะ คนที่มีกันในบ้านก็ใช้กันหมดแล้ว น้องสาวน้อยนักเรียนคุณแม่ที่นั่งตาปริบ ๆ อยู่ข้าง ๆ ก็เลยบอกว่าหนูทำให้ค่ะ นั่นแหละค่ะ มันถึงได้คลี่คลายไปในทางที่ดีในท้ายที่สุด เราได้คุณน้องน้อยมาดูคิวให้ในคืนก่อนวันงานกันเลยทีเดียว
แต่…แต่…แต่...
งานนี้ นีดได้รับเซอร์ไพรส์จากคุณแม่ ที่แอบไปดำเนินการลับมาให้ นั่นคือ การจัดชุดการแสดงเปิดงานพิธีให้ด้วยค่ะ
ชุดการแสดงที่ว่านี้ คือ รำไทย เป็นฟ้อนอวยพร โดยนักเรียนชั้น ม.6 สองคนจากที่โรงเรียนคุณแม่ค่ะ อันนี้เซอร์ไพรส์มาก เพราะเพิ่งจะมารู้ความลับนี้ ก็เอาตอนที่เราซ้อมคิวกันครั้งสุดท้าย กรี๊ดกร๊าดมากค่ะ เพราะน้อง ๆ รำสวยมาก แล้วเป็นการแสดงที่สวยมากจริง ๆ มีการโปรยดอกกุหลาบที่พื้นเวที ทำให้เมื่อถึงเวลาพิธีสวมแหวนนั้น พื้นเวทีเต็มไปด้วยกลีบกุหลาบ มันสวยและหอมมากค่ะ
แถมยังได้สองสาวน้อยคนสวยเป็นนางงามเชิญพานแหวนหมั้นให้ด้วยค่ะ
และในที่สุดก็ถึงวันที่เราจะวุ่นวายที่สุด คือ วันก่อนวันงานค่ะ
อ่านไม่ผิดค่ะ วันงานน่ะทุกอย่างมันก็จะโซโล่ไปตามคิวของมัน แต่วันก่อนวันงานเนี่ยวุ่นวายมากค่ะ ไหนจะต้องเตรียมของไปล่วงหน้าไปไว้ที่โรงแรม ให้คุณพิธีกรซ้อมคิว ไปรับประชาชนเกาหลีมาจากสนามบิน 5 ชีวิต และสุดท้าย คือ ไปเฝ้าเค้าแต่งสวนหน้างานอยู่จนตี 1 กว่า
และยังดีมากค่ะที่ไปเฝ้าเค้าแต่งสวนหน้างาน เพราะว่าเค้าแต่งเสร็จตอนเที่ยงคืนกว่า ออกมาไม่ถูกใจเลย สวนแห้งและแข็งมาก ก็เลยบอกผู้จัดการไปอย่างนี้เลยว่า สวนแห้งมากค่ะ (คือ เค้าเอาอิฐสีขาว ๆ มาเรียง ๆๆ ให้) ก็บอกไปว่ามันแห้งไปค่ะ เค้าก็รับปากว่าเช้าจะทำให้ใหม่ และตอนเช้าเมื่อเรามาถึง มันก็เป็นแบบนี้ค่ะ
เห็นมั้ยคะว่าไม่แห้งแล้ว มีน้ำพุด้วย~~~ แล้วก็เติมต้นไม้เขียวขจีให้ด้วย เอาเป็นว่าโอเคค่ะ ดิฉันให้ผ่าน !!
ย้อนกลับมาที่ซุ้มดอกไม้สดราคาหลักหมื่น...ไหนขอดูหน่อยสิว่ามันแพงอะไรขนาดนั้น
สวยค่ะ ดิฉันให้ผ่าน !!
โอเคงั้นเรามาดูบรรยากาศโดยรวมเลยแล้วกันค่ะ
บอกเลยว่าบรรยากาศออกมาใช่อย่างที่วาดภาพไว้เลยค่ะ มีที่โล่ง ๆ ให้รู้สึกว่าไม่น่าอึดอัด มีโต๊ะเล็กน้อยสำหรับแขกผู้ใหญ่ (อายุมาก ๆ) ที่เหลือเป็นมุมน่ารัก ๆ ให้ได้นั่งกันแบบ มานั่งเล่นมากกว่ามางานแต่งงาน และให้บรรยากาศว่ามานั่งคุยกัน กินอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ กัน มากกว่ามานั่งเจาะจง ตั้งใจฟังปาฐกถาเรื่องความรักของคนสองคนที่สุดท้ายแล้ว เมื่องานจบไปก็จะยังซึ้งกันเองอยู่สองคนนั่นแหละ สบาย ๆ สีสวย ๆ แสงสวย ๆ ถ่ายเซลฟี่ออกมาก็งาม อาหารอร่อย แต่ไม่ใช่ของหนัก เป็นของเบา ๆ ที่ดูหรูหรา สวยตั้งแต่อาหาร
ทุกคนกลับไปพร้อมกับท้องอิ่ม อร่อย และได้รับเอาความรักกลับไปอย่างถ้วนทั่ว
นี่แหละค่ะ บรรยากาศของงานที่นีดตั้งใจ และมันก็ออกมาเป็นอย่างที่ตั้งใจจริง ๆ ขอบคุณ Swissotel Le Concorde รัชดา จริง ๆ ที่ช่วยทำให้ภาพในจินตนาการมันออกมาเป็นรูปร่างที่จับต้องได้
งานพิธีหมั้นโดยปกติแล้วลำดับจะประมาณว่า แห่ขันหมาก มีพิธีสงฆ์ พิธีสวมแหวน รดน้ำ บลา ๆ แต่อย่างที่บอกว่า งานนี้ตามใจฉันค่ะ เราตัดหมดเลย เพราะพิธีพวกนั้นมันทำให้แขกหลาย ๆ ท่านรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนนอกที่ไม่มีความเกี่ยวข้อง บรรยากาศและความรู้สึกแบบนั้นมันไม่อบอุ่นค่ะ เพราะฉะนั้น เราตัดทิ้งหมดเลย พิธีสงฆ์เนี่ยช่วยไม่ได้จริง ๆ เจ้าบ่าวคริสต์ค่ะ ตัดทิ้งค่ะ รดน้ำสังข์เนี่ยเอ่อ ยืดยาวค่ะ ทุกคนก็มาแล้วแค่ บลา ๆ คนอื่นที่ยังไม่ถึงคิวก็รอไปสิ รดเสร็จแล้วก็รอคนอื่นรดก่อนสิ รอกันยืดไปยาวไป เปลืองเวลาและความรู้สึกค่ะ ตัดทิ้ง เนี่ยแหละค่ะ พิธีนีด ตามนี้เลยค่ะ
1. ถ่ายรูปหน้างาน แล้วเข้างาน
2. ฟ้อนอวยพรเปิดงาน
3. พิธีกรแนะนำบ่าวสาว
4. เปิดตัวบ่าวสาวเข้างาน
5. พ่อแม่ขึ้นเวที
6. กราบขอพรพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย
7. สวมแหวน
8. ประธานพิธีกล่าวอวยพร
9. บ่าวสาวกล่าวขอบคุณแขกที่มาร่วมงาน
10. เชิญทานอาหาร
จบค่ะสั้น ๆ น่ารัก ๆ ใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที ไม่น่าเบื่อ เชิญแขก 10 โมง ไม่เกินเที่ยงกลับได้ ไม่เสียเวลาค่ะ คนเค้ามีธุระ แต่เราเปิดห้องไว้ถึงสองโมงเย็น เพราะฉะนั้น ใครจะอยู่ต่อเม้าท์มอยก็เชิญค่ะเต็มที่ อุตส่าห์มาเป็นเกียรติให้กัน คุณไม่กลับดิฉันก็ไม่กลับค่ะ
อย่างภาพนี้ คือ บรรยากาศที่นีดฝันเลยค่ะ คนหนึ่ง คือ คุณยายนีด อีกคนแฟนนีด คนหนึ่งไทย คนหนึ่งเกาหลี ถามว่าคุยกันรู้เรื่องมั้ย ตอบเลยว่าไม่รู้เรื่องหรอก แต่สุดท้ายเค้าทั้งคู่หัวเราะไปด้วยกันได้ แค่นี้แหละค่ะ ทุกคนมีความสุข และเราก็มีความสุข
เก้าอี้เล็ก ๆ ไม่กี่ตัวที่ถูกจับมาล้อมกันเป็นกลุ่ม ให้บรรดาแก๊ง ส.ว. ได้มารวมตัว Reunion กันอีกครั้ง ผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแม่เลี้ยงให้เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก เป็นครูเมื่อเรียนมัธยม และเป็นญาติผู้ใหญ่ให้อีกครั้งในวันแต่งงาน
พิธีกรคู่ของปีนี้ที่จะกลายเป็นของเจ้างานในปีหน้า และนีดรับปากไว้แล้วค่ะ (ไม่ว่าเค้าจะต้องการรึเปล่าก็ตาม 555) ว่านีดจะเป็นพิธีกรคืนให้ อิอิ (กลัวจะทำงานเค้าล่มน่ะสิคะ หุหุ)
ผู้หญิงสองคนนี้เริ่มต้นจากการเป็นลูกค้าฮ่า ๆ และจบสุดท้ายด้วยมิตรภาพของความเป็นเพื่อน
กับน้องผู้ช่วยที่น่ารักทั้งสองคน
และสุดท้ายครอบครัวที่อบอุ่นที่สุด แบบจะหาที่ไหนดีกว่าไปพวกเค้าเหล่านี้ไม่มีอีกแล้วค่ะ นี่สินะ ความสุขง่าย ๆ สุดท้ายก็อยู่แค่ที่ครอบครัวของเรา
บรรยากาศงาน และทุกสิ่งอย่างจบออกมาอย่างเฟอร์เฟคท์ แต่จะไม่ได้แบบนี้เลย ถ้าไม่มีครอบครัวนีดที่คอยช่วยเหลือทุกสิ่งอย่าง
บางคนอาจจะต้องเสียเงินมากมาย ใช้เอเจนซี่ในการช่วยจัดงานให้ออกมาสมบูรณ์แต่สำหรับนีด (เป็นพวกขี้รำคาญ) เลือกที่จะทำเองทุกอย่างด้วยใจ ประหยัดไปมากกว่าครึ่ง แถมออกมาได้อย่างใจทุกอย่าง เพราะเราเลือกเอง ทำเองทุกอย่าง ให้ใครทำให้ก็ไม่ถูกใจเท่าทำเอง สรุปสุดท้ายสุด ๆ งานนี้ตั้งแต่ต้นจนจบค่ะ เบ็ดเสร็จ นีดใช้เงินไปทั้งสิ้น 1.2 แสนบาทค่ะ ได้ทุกอย่างจริง ๆ ได้ใจด้วย
ก็หวังว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นแนวทางให้ใครหลาย ๆ คนที่งบน้อย งบจำกัด ได้ลองดูว่า ตรงไหนเราทำเองได้ มันจะช่วยประหยัดได้มากเลยค่ะ