ฟ้องหย่าเรียกร้องอะไรได้บ้าง สิทธิที่ควรรู้ก่อนหย่าร้าง

          ฟ้องหย่าเรียกร้องอะไรได้บ้าง เป็นคำถามที่เกิดขึ้นบ่อยกับคู่ที่กำลังเตรียมเรื่องหย่าร้าง มาคลายความสงสัยกันว่า หย่าแล้วได้อะไร เรียกร้องเงินหรือทรัพย์สินส่วนใดได้บ้าง
ฟ้องหย่าเรียกร้องอะไรได้บ้าง

          หากชีวิตคู่เดินไปต่อด้วยกันไม่ได้ก็ถึงจุดที่จะต้องจบลง ซึ่งมีทั้งจากกันด้วยดีและไม่ดี ถ้าจากกันด้วยดีก็อาจจะตกลงกันไปจดทะเบียนหย่าด้วยความยินยอม กลับกันถ้าจากกันไม่ดี โดยอีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมจบหรือหย่าให้แต่โดยดี ก็จำเป็นที่จะต้องฟ้องหย่า เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหย่าขาดจากกัน ซึ่งคำถามที่ตามมาก็คือ ฟ้องหย่าเรียกร้องอะไรได้บ้าง ? เพราะงานนี้หลายคนก็ขอรับคำขอโทษเป็นเงินสดเท่านั้น วันนี้กระปุกดอทคอมจะมาเฉลยคำตอบเพื่อเป็นแนวทางสำหรับคู่สามี-ภรรยาที่กำลังตัดสินใจเรื่องหย่าร้าง ให้ได้ทราบข้อมูลสำคัญก่อนดำเนินคดีฟ้องหย่าค่ะ

เหตุฟ้องหย่ามีอะไรบ้าง

          ก่อนอื่นเรามาดูเหตุแห่งการหย่ากันสักนิด โดยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 กำหนดไว้ว่า สามี-ภรรยาจะฟ้องหย่าได้ต้องอยู่ในมูลเหตุตามนี้

          (1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

          (2) สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว ไม่ว่าความประพฤติชั่วนั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ถ้าเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่ง

  • (ก) ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง
  • (ข) ได้รับความดูถูกเกลียดชังเพราะเหตุที่คงเป็นสามีหรือภริยาของฝ่ายที่ประพฤติชั่วอยู่ต่อไป หรือ
  • (ค) ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร ในเมื่อเอาสภาพฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

          (3) สามีหรือภริยาทำร้ายหรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ ถ้าเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

          (4) สามีหรือภริยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกินหนึ่งปี อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

  • (4/1) สามีหรือภริยาต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกและได้ถูกจำคุกเกินหนึ่งปี ในความผิดที่อีกฝ่ายหนึ่งมิได้มีส่วนก่อให้เกิดการกระทำความผิด หรือยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดนั้นด้วย และการเป็นสามีภริยากันต่อไปจะเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
  • (4/2) สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี หรือแยกกันอยู่ตามคำสั่งของศาลเป็นเวลาเกินสามปี ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

          (5) สามีหรือภริยาถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ หรือไปจากภูมิลำเนา หรือถิ่นที่อยู่เป็นเวลาเกินสามปี โดยไม่มีใครทราบแน่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

          (6) สามีหรือภริยาไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควร หรือทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ ถ้าการกระทำนั้นถึงขนาดที่อีกฝ่ายหนึ่งเดือดร้อนเกินควรในเมื่อเอาสภาพฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

          (7) สามีหรือภริยาวิกลจริตตลอดมาเกินสามปี และความวิกลจริตนั้นมีลักษณะยากจะหายได้ กับทั้งความวิกลจริตถึงขนาดที่จะทนอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาต่อไปไม่ได้ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

          (8) สามีหรือภริยาผิดทัณฑ์บนที่ทำให้ไว้เป็นหนังสือในเรื่องความประพฤติ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

          (9) สามีหรือภริยาเป็นโรคติดต่ออย่างร้ายแรงอันอาจเป็นภัยแก่อีกฝ่ายหนึ่ง และโรคมีลักษณะเรื้อรังไม่มีทางที่จะหายได้ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

          (10) สามีหรือภริยามีสภาพแห่งกายทำให้สามีหรือภริยานั้นไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

ฟ้องหย่าเรียกร้องอะไรได้บ้าง

ฟ้องหย่าเรียกร้องอะไรได้บ้าง

          เมื่อทำความเข้าใจแล้วเห็นว่ากรณีของคู่เราเข้าข่ายมีเหตุแห่งการฟ้องหย่าได้ ขั้นตอนต่อไปเราควรทราบว่าฟ้องหย่าแล้วได้อะไร นอกจากการมอบอิสระแก่กัน แต่ละฝ่ายยังมีสิทธิฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายอย่างไรบ้าง

1. ฟ้องเรียกเงินค่าทดแทน

          สำหรับการฟ้องหย่านั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าประเด็นยอดนิยมก็คือ “หย่าเพราะมีชู้” ซึ่งในกรณีนี้สามีและภรรยาทั้งสองฝ่ายสามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนจากคู่สมรสและชายหรือหญิงที่เป็นชู้ได้ หรือหากไม่อยากฟ้องหย่าก็ยังสามารถเรียกค่าทดแทนจากชู้ได้เช่นกัน

  • ไม่หย่า = เรียกค่าทดแทนได้จากชู้เท่านั้น
  • ฟ้องหย่า = เรียกค่าทดแทนได้จากคู่สมรสและชู้
          แต่ทั้งสองกรณีจะเรียกค่าทดแทนจากชู้ได้ก็ต่อเมื่อพิสูจน์ชัดเจนได้ว่าชายหรือหญิงที่เข้ามามีสัมพันธ์กับคู่สมรสของเราในทำนองชู้สาวนั้นทราบว่าคู่ชู้มีสามีหรือภรรยาแล้ว นอกจากนี้ยังเรียกค่าทดแทนจากคู่หย่าได้ในอีกหลายกรณี เช่น ทำร้ายร่างกาย ดูหมิ่นเหยียดหยามบิดามารดาของคู่หย่าอย่างร้ายแรง จงใจทิ้งร้างไปเกิน 1 ปี ไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูตามสมควร หรือทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยา หากคู่หย่ากระทำการเหล่านี้ หรือจงใจทำเพื่อให้อีกฝ่ายฟ้องหย่า คุณสามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนได้
          ส่วนค่าทดแทนควรจะเป็นเงินเท่าไร กฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์ไว้เพียงกว้าง ๆ ว่า ให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์แห่งคดี ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1525 โดยประเด็นที่จะหยิบยกมาวินิจฉัยกำหนดค่าทดแทนนั้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องฐานะทางสังคม การศึกษา อาชีพ รายได้ แต่งงานกันมานานแค่ไหน มีการจัดงานแต่งหรือไม่ มีบุตรด้วยกันหรือไม่ พฤติการณ์ในการเป็นชู้เปิดเผยมากแค่ไหน เป็นต้น

2. ฟ้องแบ่งสินสมรส

          สินสมรส คือ ทรัพย์สินที่ได้มาหลังจดทะเบียนสมรส เช่น เงินเดือน โบนัส บำเหน็จ บำนาญ ค่าเช่า ดอกเบี้ย เงินปันผล ยกเว้นทรัพย์สินที่ได้รับโดยเสน่หา และทรัพย์สินที่ได้รับมรดกมา ซึ่งธรรมดาแล้วในกรณีที่มีสินสมรสด้วยกัน เราสามารถฟ้องแบ่งหรือเรียกร้องให้แบ่งสินสมรสไปพร้อมกันในคราวเดียวกันเลย

วิธีแบ่งสินสมรส

  • ให้แบ่งกันตามจำนวนที่มีอยู่ในวันฟ้องหย่า โดยได้ส่วนแบ่งในสินสมรสเท่า ๆ กัน ส่วนทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาหลังวันฟ้องหย่าย่อมตกเป็นของฝ่ายนั้น
  • หากมีหนี้ร่วมกันในระหว่างเป็นสามีภริยา ความรับผิดในหนี้ร่วมต้องแบ่งตามส่วนเท่ากัน โดยมิต้องคำนึงถึงกองสินส่วนตัว หรือส่วนแบ่งสินสมรสที่ชายหญิงนั้นได้รับไป
  • หากคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจำหน่ายสินสมรสในลักษณะที่ทำให้อีกฝ่ายเสียประโยชน์ หรือโดยไม่ได้รับความยินยอม คู่สมรสฝ่ายที่จำหน่ายจะต้องชดใช้ให้แก่กองสินสมรสเท่ากับจำนวนที่จำหน่ายไป
  • เทคนิคการฟ้อง : หากสินสมรสส่วนใหญ่อยู่ที่ฝ่ายเรา เรามักจะไม่ฟ้องร้องขอแบ่งสินสมรส เพราะจะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับการทำคดี คนจึงไม่นิยมกัน

3. ฟ้องขออำนาจปกครองบุตร

          โดยทั่วไปแล้วเมื่อศาลพิพากษาให้หย่ากัน ศาลต้องมีการกำหนดว่าอำนาจการปกครองควรจะอยู่กับใคร ซึ่งจะพิจารณาความสุขและประโยชน์ของเด็กเป็นสำคัญ ซึ่งถ้าเราอยากเลี้ยงดูบุตรก็สามารถฟ้องขออำนาจให้บุตรอยู่กับเราได้

4. ฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดูบุตร

          ต่อเนื่องจากข้อที่แล้ว เมื่อบุตรมาอยู่ในความดูแลของฝ่ายที่ฟ้องหย่าก็ต้องมีค่าอุปการะเลี้ยงดู ฝ่ายที่ฟ้องหย่าย่อมสามารถฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดูบุตรตามสมควรไปพร้อมกับการฟ้องหย่าได้ด้วยจนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ (อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์) หรือบรรลุนิติภาวะด้วยการสมรส ยกเว้นทุพพลภาพและยังหาเลี้ยงตัวเองไม่ได้

ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร ประกอบด้วย

  • ค่าที่พักอาศัย
  • ค่าอาหาร
  • ค่าเสื้อผ้า ของใช้ที่จำเป็น
  • ค่าศึกษาเล่าเรียน กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้
  • ค่ารักษาพยาบาล ค่าฝากครรภ์ ค่าคลอดบุตร ค่าวัคซีน
  • ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ
  • ค่าใช้จ่ายประจำวัน

          ทั้งนี้ การกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเป็นจำนวนเท่าใดไม่มีกฎตายตัว ศาลจะพิจารณาตามความเหมาะสม

ฟ้องหย่าเรียกร้องอะไรได้บ้าง

5. ฟ้องค่าเลี้ยงชีพ

          ก่อนสมรสฝ่ายหนึ่งอาจมีอาชีพการงาน แต่หลังจากแต่งงานแล้วไม่ได้ทำ ลาออกจากงานมาดูแลครอบครัว ทว่าเมื่อหย่ากันแล้ว ฝ่ายที่ยากจนลงก็จะมีปัญหา เพราะแต่ก่อนเคยได้เงินจากคู่สมรส เกิดเป็นความเสียเปรียบและเดือดร้อนขึ้น ดังนั้น ถ้าเหตุหย่านั้นเกิดจากความความผิดของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง เช่น มีชู้ ละทิ้งคู่สมรสอีกฝ่ายเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี คู่สมรสฝ่ายที่ฟ้องหย่ามีสิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพได้ด้วย โดยมีหลักเกณฑ์คือ
  • การฟ้องหย่า ต้องเกิดจากความผิดของอีกฝ่ายเท่านั้น
  • การหย่า ต้องทำให้ฝ่ายเรายากจนลงหรือไม่มีรายได้
  • การฟ้องเรียกค่าเลี้ยงชีพ ต้องฟ้องพร้อมกับการหย่า ถ้าไม่ได้ฟ้องจะมาเรียกร้องภายหลังไม่ได้
          ค่าเลี้ยงชีพนี้จะหมดไปเมื่อสมรสใหม่และโดยคำสั่งเพิกถอนของศาล พ่อหม้ายแม่หม้ายที่ได้รับค่าเลี้ยงชีพจากอดีตคู่สมรสจึงไม่นิยมจดทะเบียนสมรสกับคนใหม่ เพื่อรักษาสิทธิค่าเลี้ยงชีพเอาไว้
          การฟ้องหย่า รวมถึงคดีครอบครัวอื่น ๆ การพูดคุย เจรจาไกล่เกลี่ย หรือตกลงเรื่องค่าชดเชยตั้งแต่แรก ถือเป็นทางออกที่ดีที่สุดกับทุกฝ่าย แต่หากตกลงกันไม่ได้ การรู้สิทธิและข้อเรียกร้องทางกฎหมายก็จะช่วยให้คุณได้เปรียบในการฟ้องหย่ามากขึ้น

บทความที่เกี่ยวข้อง

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ฟ้องหย่าเรียกร้องอะไรได้บ้าง สิทธิที่ควรรู้ก่อนหย่าร้าง อัปเดตล่าสุด 14 ธันวาคม 2566 เวลา 22:15:43 77,399 อ่าน
TOP
x close